นางนวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ MTI เปิดเผยว่า ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 ใน 1-2 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจโลจิสติกส์ยังคงมีการ เติบโตได้เป็นอย่างดี ตามความต้องการในการกระจายสินค้าทั่วทุกภูมิภาค และประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งการขยายตัวของยอดขายรถบรรทุกขนาดใหญ่ ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี ประกอบกับธุรกิจ E-commerce ที่มีการขยายตัวได้ดีในช่วงที่ผ่านมา
จากนโยบายของกรมการขนส่งทางบก ที่มุ่งเน้นการสร้างความปลอดภัยจากอุบัติเหตุทางท้องถนนในหลากหลายแนวทาง รวมทั้งได้มีการกำหนดมาตรฐานร่วมกันทุกภาคส่วนในการพัฒนาและบริหารจัดการผู้ประกอบการขนส่งด้วยรถบรรทุก (Q-Mark) ทั้งในมุมมองด้านองค์กร ยานพาหนะ รวมถึงประสิทธิภาพของพนักงานขับรถ ซึ่งมีการพัฒนามาตรฐานมาตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมา เช่น การจัดทำประวัติการซ่อมแซมและบำรุงรักษารถรายคัน การตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์และสารเสพติดของพนักงานขับรถ การติดตั้ง GPS Tracking เพื่อควบคุมความเร็วขณะขับขี่ ซึ่งในปัจจุบันมีผู้ประกอบการขนส่งที่เข้ามาร่วมโครงการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องนั้น
เมืองไทยประกันภัย จึงดำเนินการปรับเพิ่มแผนยุทธศาสตร์ และวางกลยุทธ์มุ่งเน้นการขยายงานบริการรับประกันภัยสำหรับรถบรรทุกใหญ่ทั้งการประกันภัยรถยนต์และการรับประกันภัยสินค้าและความรับผิดของผู้ขนส่ง โดยการเพิ่มบริการในด้านที่เกี่ยวข้อง ทั้งด้านอู่ซ่อมรถใหญ่ทั่วประเทศ การบริหารอะไหล่รถบรรทุกเฉพาะ และความพร้อมในด้านการบริการสำรวจภัย ตอบโจทย์พฤติกรรมลูกค้ากลุ่มรถบรรทุกใหญ่ที่เป็น Logistics โดยที่ผ่านมาได้มีการขายผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทางต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นช่องทาง Bancassurance นายหน้า ตัวแทน และขายตรง
ในปี 2564 คาดว่า บมจ. เมืองไทยประกันภัย จะมีเบี้ยประกันภัยธุรกิจ Logistics รวมประมาณ 500 ล้านบาท และจะเติบโตขึ้นปีละไม่ต่ำกว่า 40% โดยได้เน้นการพิจารณาการรับประกันภัยในกลุ่มผู้ประกอบการขนส่งรถบรรทุกขนาดใหญ่ ที่มีการบริหารจัดการที่ดีอีกทั้งจะมีการพิจารณารับประกันเป็นพิเศษ หากองค์กรนั้นได้ถูกพิจารณารับรองตามมาตรฐาน Q-Mark เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้นอีกด้วย