บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคัก นักลงทุนขานรับผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียน โดยหุ้นทั้ง 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวกทั้งหมด นำโดยหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์, กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย และกลุ่มอุตสาหกรรม
หุ้นเมอร์ค แอนด์ โค พุ่งขึ้น 6.14% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 3 ที่ระดับ 1.75 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.55 ดอลลาร์/หุ้น โดยได้รับแรงหนุนจากยอดขายยา Keytruda ซึ่งเป็นยารักษาโรคมะเร็ง รวมทั้งยอดขาย Gardasil ซึ่งเป็นวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก
นอกจากนี้ เมอร์คได้ปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรประจำปี 2564 สู่ระดับ 5.65-5.70 ดอลลาร์/หุ้น จากเดิมที่ระดับ 5.47-5.57 ดอลลาร์/หุ้น โดยการปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรประจำปีนี้ยังไม่รวมยอดขายยาโมลนูพิราเวียร์ ซึ่งเป็นยารักษาโรคโควิด-19 ที่ทางบริษัทได้ยื่นขออนุมัติการใช้ยาเป็นกรณีฉุกเฉินต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) เมื่อวันที่ 11 ต.ค. โดยคาดว่าจะได้รับการอนุมัติในช่วงต้นเดือนธ.ค. ซึ่งหากได้รับการอนุมัติก็จะทำให้บริษัทมีกำไรเพิ่มมากขึ้น
หุ้นฟอร์ด มอเตอร์ ทะยานขึ้น 8.63% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 3 ที่ระดับ 51 เซนต์/หุ้น สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 27 เซนต์/หุ้น
หุ้นแคทเธอร์ พิลลาร์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องมือก่อสร้างขนาดใหญ่ที่สุดในโลก พุ่งขึ้น 4.07% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 3 ที่ระดับ 2.66 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 2.20 ดอลลาร์/หุ้น
ผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัทจดทะเบียนได้ช่วยสกัดปัจจัยลบจากรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐซึ่งระบุว่า ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/2564 ขยายตัวเพียง 2.0% ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.7% และเป็นอัตราการขยายตัวที่ต่ำที่สุดในรอบกว่า 1 ปี โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา และการขาดแคลนวัตถุดิบในภาคการผลิต ซึ่งกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ยอดขายรถยนต์ลดลง รวมทั้งตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภค
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งและเป็นปัจจัยหนุนดัชนี Nasdaq ปิดทำนิวไฮ โดยหุ้นแอปเปิล พุ่งขึ้น 2.5% หุ้นแอมะซอน ดีดขึ้น 1.59% หุ้นไมโครซอฟท์ บวก 0.37% หุ้นเฟซบุ๊ก พุ่งขึ้น 1.51% หุ้นเทสลา ทะยานขึ้น 3.8%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยล่าสุดเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 10,000 ราย สู่ระดับ 281,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2563 ที่เป็นช่วงเริ่มต้นการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ
ทางด้านสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) ลดลง 2.3% สู่ระดับ 116.7 ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าดัชนีจะปรับตัวขึ้น ทั้งนี้ การทำสัญญาขายบ้านลดลงทุกภูมิภาค โดยถูกกดดันจากราคาบ้านในระดับสูง และการดีดตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง
นักลงทุนยังจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 2-3 พ.ย. โดยคาดว่าเฟดอาจปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมครั้ง