นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน)หรือ BGC เปิดเผยว่า บริษัทฯพร้อมเดินหน้าปรับโครงสร้างการลงทุนในธุรกิจพลังงานเป็นรูปแบบ Passive Investment ที่มีสัดส่วนการลงทุนน้อยกว่า 20% มุ่งเน้นผลตอบแทนการลงทุนในรูปแบบเงินปันผล เพื่อกระจายความเสี่ยงและคงไว้ซึ่งเสถียรภาพรวมถึงความมั่นคงของรายได้
ทั้งนี้จะขายหุ้นทั้งหมด 100% ที่ถือในบริษัท โซล่า พาวเวอร์ แมเนจเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (SPM)ให้กับบริษัท บีจี เอ็นเนอร์ยี่ โซลูชั่น จำกัด (BGE)เพื่อแลกกับหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ BGE จำนวน 7.5 ล้านหุ้น หรือ 27.27% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ BGE และดำเนินการจำหน่ายหุ้น BGE สัดส่วน 2.02 ล้านหุ้น คิดเป็น 7.35% ให้กับบริษัท บางกอกกล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BG
จะทำให้บริษัทฯได้รับเงินกว่า 600 ล้านบาท และคงเหลือสัดส่วนถือหุ้นในธุรกิจด้านพลังงานผ่าน BGE ที่ 19.93% รวมถึงอนุมัติให้ SPM ทำสัญญากู้ยืมเงินจาก BGE วงเงินไม่เกิน 270 ล้านบาท เพื่อให้ SPM นำไปชำระเงินกู้ยืมเดิมพร้อมดอกเบี้ย หลังจากได้รับมติอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2564 เป็นที่เรียบร้อย
การปรับลดสัดส่วนการลงทุนในธุรกิจพลังงานครั้งนี้ เป็นการปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัทฯ ให้สอดคล้องกับแผนดำเนินงานในระยะยาว ที่มีนโยบายมุ่งเน้นขยายการลงทุนและสร้างการเติบโตจากธุรกิจด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร หลังบริษัทฯ ได้เข้าลงทุนในธุรกิจบรรจุภัณฑ์อื่น ๆ และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อยกระดับธุรกิจสู่ “Total Packaging Solutions” ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ มีศักยภาพและขีดความสามารถการแข่งขันที่ดียิ่งขึ้น
นอกจากนั้น ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯได้ขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์แก้ว โดยลงทุนก่อสร้างเตาหลอมแก้วแห่งใหม่ที่โรงงานราชบุรี และลงทุนขยายกำลังการผลิตเตาหลอมแก้วที่โรงงานปราจีนบุรี ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์แก้วเพิ่มขึ้นเป็น 3,935 ตันต่อวัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 3,495 ตันต่อวัน รวมถึงได้ขยายการลงทุนบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ซึ่งเป็นการเพิ่มพอร์ตสินค้าและความหลากหลายด้านบรรจุภัณฑ์ ตอบสนองความต้องการภายในประเทศที่มีอัตราเติบโตสูง และรุกขยายฐานลูกค้าในอุตสาหกรรมต่างๆ
"ปีนี้ถือเป็นปีที่ BGC มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ซึ่งการปรับโครงสร้างธุรกิจและแผนลงทุนต่าง ๆ จะเป็นส่วนผลักดันให้บรรลุเป้าหมายที่มีรายได้เติบโตอีกกว่าเท่าตัว จาก 1.1 หมื่นล้านบาท เป็น 2.5 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2568"นายศิลปรัตน์กล่าว
นายศิลปรัตน์กล่าวว่า หลังจากรัฐบาลเดินหน้าเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา จะส่งผลดีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและฟื้นฟูรายได้จากการท่องเที่ยว ตลอดจนการอนุญาตให้ 4 จังหวัดนำร่องสามารถขายเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์และนั่งดื่มภายในร้านได้ถึงเวลา 21.00 น. และการประกาศยกเลิกมาตรการห้ามออกนอกเคหะสถานในเวลาที่กำหนด(เคอร์ฟิว) ยกเว้นพื้นที่สีแดงเข้ม 7 จังหวัดที่ยังมีมาตรการควบคุม เชื่อว่า จะเป็นปัจจัยบวกต่อภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์แก้วและความต้องการใช้สินค้าที่เพิ่มขึ้น