นาง พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บจ.วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยผ่าน งานWealth Virtual Forum 2021 ลงทุนอย่างไรให้รวยว่า ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาราคาทองคำอยู่ที่ 1,916 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาทองคำค่อนข้างสวยหรูและทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเริ่มมีกระแสการลด QE และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เริ่มกดดันราคาทองคำส่งผลให้ราคาทองคำเริ่มที่จะแผ่วปลาย
แต่หลังจากเริ่มมีการปรับลด QE ตลาดกลับไม่ได้มี reaction แต่ได้รับผลกระทบจากข่าวไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยส่งผลให้ราคาทองคำทะยานขึ้นจาก 1,750 ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 1,860ดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันทองคำปีนี้ทั้งปีแกว่ง 282 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินบาทไทยปีนี้อ่อนไป 9% ส่งผลให้คนที่ลงทุนทองคำปีนี้เป็นบวก
โดยปัจจัยที่หนุนราคาทองคำอันดับหนึ่งคือ ภาวะเงินเฟ้อ จากเดิมที่ FED คาดการณ์ว่าจะส่งผลในระยะสั้น แต่ปัจุบันมีผลมาต่อเนื่องกว่า 3เดือน จากอัตราเงินเฟ้อประมาณ 2% ปัจุบันขยับขึ้นมา3-4 % ซึ่งอาจต้องมองในระยะยาวว่าหลังจากนี้จะมีมาตรการอื่นๆเข้ามาสกัดเงินเฟ้อและมีปัจจัยอย่างอื่นที่เข้ามา support เพิ่มเติมหรือไม่
ประเด็นถัดไปคือเรื่องหนี้สาธารณะของอเมริกาล่าสุดอยู่ที่ 28 ล้านเหรียญ โดยเฉพาะในช่วงที่มีโควิดเกิดขึ้นเป็นช่วงที่อเมริกาต้องใช้เงินค่อนข้างเยอะ ส่งผลให้กระทรวงการคลังต้องกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการกู้เงินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่อาจปรับได้ไม่มาก เพราะยังมีภาระในการชำระหนี้ค่อนข้างเยอะ จึงเป็นปัจจัยหลักหนุนให้ราคาทองคำพุ่งขึ้น
ปัจจัยที่หนุนราคาทองอีกปัจจัยความต้องการทองคำของจีนและอินเดีย โดยปีนี้ทั้งปี จีนและอินเดียมีนำเข้าทองคำ กว่า 2000 ตัน ในขณะที่ทั่วโลกมีทองคำหมุนเวียนราวๆ 4500 ตัน จึงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาทองคำร่วงลงยากมาก
และปัจจัยสุดท้ายคือธนาคารกลางโลก ซึ่งมีการสำรองเงินไว้ค่อนข้างเยอะ แต่การสำรองเงินก็ต้องประเมินว่าค่าเงินที่ไหนมีความเสี่ยงบ้าง โดยกระแสในปีนี้ส่วนใหญ่เกือบทุกประเทศก็พยายามที่จะเลี่ยง US dollar เนื่องจากเป็นหนี้ต่อ GDPถึง127% ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูง ทำให้ทองคำกลายเป็นพระเอกในสินทรัพย์ตอบแทนในการลงทุน สำหรับเมืองไทยมีการซื้อทองคำราวๆ 9-12 ตัน ในจังหวะที่ทองราคาทองคำไม่สูงมากนัก
สำหรับปัจจัยที่กดดันราคาทองคำในปีนี้คือคือการถอนดอกเบี้ย ที่แม้ว่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็เป็นเพียงระยะสั้น เพราะภาระหนี้ของอเมริกาอยู่ในระดับสูง นักลงทุนต้องประเมิณว่าอัตราดอกเบี้ยจะพุ่งสูงระดับไหน หากพุ่งเพียงเล็กน้อยต้องมีการ balance ระหว่างการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยหรือการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงและการชำระดอกเบี้ย ซึ่งส่วนนี้จะต้องดูในระยะไกลๆ
กระแสถัดไปคือตัว ETF ก่อนที่ราคาทองคำจะร่วงครั้งนี้ ทั่วโลกETF มีประมาณ 3,900 กว่าตัน แต่นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะพูดถึง SPDR ก่อนที่จะร่วงลงมามีสะสมอยู่ประมาณ 1.2 - 1.3 พันตัน ซึ่งปีนี้ทั้งปีถูกขายมาเกือบ 200 กว่าตัน เพราะฉะนั้นนี่เป็นอีกปัจจัยที่กดดันราคาทองคำ และอีกหนึ่งปัจจัยที่นักลงทุนให้ความสนใจคือการทะยานขึ้นของ bitcoin ที่ค่อนข้างจะหวือหวามาก แต่ละแอสเสทขึ้นมาถึง 100%- 200% ถ้าเทียบกับทอง แต่นักลงทุนรายย่อยที่จะเข้าไปคงจะต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุนด้วย
“ทองมีอย่างเดียวที่เหมือนCryptocurrency คืออาจเป็น investment แต่ข้อดีของการลงทุนในทองคือทองเป็นสินค้าที่จับต้องได้ ทองเป็นสินค้าที่เอาไปทำอย่างอื่นได้ แต่ใน investment จริงๆของทองมีแค่ 42 %เพราะฉะนั้นนักลงทุนจึงมองว่าบอกว่าลงทุนในCryptocurrencyดูเหมือนจะเยอะ แต่ในความเป็นจริงแล้วทองคำมียอดการลงทุนถึง 11.5 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ แต่ในCryptocurrencyมีแค่การลงทุนเพียงแค่ 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น”
สำหรับการลงทุนทองคำกับ YLG ปัจุบันนักลงทุนไม่จำเป็นต้องเข้ามาที่ YLG แต่สามารถเปิดพอร์ตซื้อขายออนไลน์24 ชั่วโมงในราคาเรียลไทม์ Gold Spot นอกจากนี้ วายแอลจี ได้ทำคิดค้นรูปแบบการลงทุนทองคำที่มีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ด้วยการพัฒนาโปรแกรมออมทอง ที่เริ่มต้นออมทองได้ด้วยเงินเพียง 100 บาท