ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (7ธ.ค.64) ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการเราชนะราว 100 ราย ที่ถูกระงับสิทธิ์การเข้าร่วมโครงการเราชนะ และถูกเรียกเงินคืนจากการเข้าร่วมโครงการ ได้เดินทางมาร้องและยื่นหนังสือที่กระทรวงการคลัง เพื่อขอให้กระทรวงการคลัง เร่งพิจารณาการยื่นอุทธรณ์โดยเร็ว เพื่อพิสูจน์ความจริงว่าร้านค้ากระทำผิดเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการเราชนะในลักษณะใดบ้าง และลักษณะใดที่รัฐสามารถอนุโลมได้ เพื่อให้เกิดความชัดเจนโดยเร็ว
โดยจากการสอบถามบรรดาร้านค้าที่มา พบว่า บางรายมีการรับแลกเป็นเงินสด ซึ่งมีการหักค่าแลกเงิน 5% - 7% โดยให้เหตุผลว่าต้องเสียภาษี ขณะที่บางรายมีการให้ลูกค้าซึ่งอยู่คนละจังหวัดทำการโหลดแอปฯถุงเงินและส่งเลข OTP ไปให้ลูกค้าเพื่อเข้าแอปฯถุงเงินและดำเนินการสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อชำระเงินเอง และบางรายมีการใช้สิทธิข้ามเขต เกินระยะทาง 7,000 กิโลเมตร (กม.) ที่กำหนด (ใช้วิธีจับ GPS ระหว่างร้านค้าและผู้ซื้อ คิดเป็นระยะทางรวมต่อวันต้องไม่เกิน 7,000 กม.)
นอกจากนี้ร้านค้าบางราย บอกว่า เจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทยที่เป็นผู้รับสมัครให้ข้อมูลไม่ชัดเจน โดยบอกว่าสามารถซื้อขายผ่านออนไลน์ได้ ทำให้ผู้ค้าบางรายกระทำผิดโดยไม่ได้เจตนา รวมถึงบางรายยอมรับว่ากระทำผิดจริงเพราะไม่ได้อ่านเงื่อนไขข้อห้ามตอนสมัครเข้าร่วมโครงการ จึงขอให้รัฐเรียกเงินคืนเฉพาะส่วนของรัฐเท่านั้น ไม่ใช่เรียกเงินคืนทั้งหมดซึ่งมีส่วนของทางร้านรวมอยู่ด้วย
ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง ได้ส่งผู้แทนรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาแล้ว โดยเบื้องต้น ได้แยกเรื่องออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มผู้ยื่นอุทธรณ์ไม่ทันภายในระยะเวลาที่กำหนด 2. กลุ่มที่มีหลักฐานมาแสดง และ 3.กลุ่มที่ไม่มีหลักฐานมาแสดง
ขณะที่ความคืบหน้าภายหลังกระทรวงการคลังโดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้ส่งหนังสือแจ้งเตือนและเรียกเงินคืนไปยังร้านค้าที่เข้าข่ายกระทำผิดเงื่อนไขโครงการฯ ประมาณ 2,000 ราย และเปิดให้ร้านค้าที่มั่นใจว่าไม่ได้กระทำผิดเงื่อนไข ยื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วันพร้อมแสดงหลักฐาน ซึ่งล่าสุด สศค. ได้พิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว 800 ราย ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการพิจารณาคำยื่นอุทธรณ์ของร้านค้า และจะทยอยแจ้งให้ร้านค้ารับทราบต่อไป