ยูโอบีประเมินตลาดหุ้นไทยปี65 อยู่ในกรอบ 1,650-1,700 จุด

14 ธ.ค. 2564 | 22:33 น.
อัปเดตล่าสุด :15 ธ.ค. 2564 | 07:10 น.

ยูโอบีคาดการณ์ปี 2565 จีดีพีไทยเติบโต 3.5% มอง 3ธีมลงทุนเด่น “ปฏิวัติอุตสาหกรรม -ระบบการเงินไร้ตัวกลาง -วิวัฒนาการของการบริโภค” แนะลดสัดส่วน “บอนด์” เพิ่มธีมอนาคตและกลุ่มเศรษฐกิจเก่ายังน่าสนใจทั้ง “พลังงาน การเงินและสุขภาพ”

นายกุลฉัตร จันทวิมล รองกรรมการผู้จัดการ สายพัฒนาธุรกิจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงมุมมองเศรษฐกิจโลกและการลงทุนในปี 2565 โดยระบุว่า  เศรษฐกิจโลกจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ การกระตุ้นเศรษฐกิจลดลงและนโยบายการเงินเข้มงวดขึ้น

ยูโอบีประเมินตลาดหุ้นไทยปี65 อยู่ในกรอบ 1,650-1,700 จุด

 แต่ความเสี่ยงทางการเมืองสูงขึ้น ส่วนผลตอบแทนจาการลงทุนแนวโน้มอัตราผลตอบแทน(Yield)ระยะสั้นสูงขึ้น  Yieldระยะยาวย่อลง สินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกให้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้(Bond)

 

ส่วนมุมมองสำหรับประเทศไทย  ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของไทย(จีดีพี)ในปี 2565 นั้น ประมาณการจีดีพีจะขยายตัวที่ประมาณ 3.5% บนสมมติฐานภาคการท่องเที่ยวของไทยสามารถกลัยมาเปิดได้เต็มรูปเแบบ    พร้อมประเมินแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ระดับ 1.5% ขณะเดียวกันเริ่มเห็นปัจจัยเสี่ยงจากทางการเมือง  การเลือกตั้ง ทั้งในส่วนระดับประเทศและการเลือกผู้ว่า กทม. อย่างไรก็ตามไทยยังอยู่ในโหมดของการประคองเศรษฐกิจเพื่อรอเปิดประเทศ

 

นายกุลฉัตรมองตลาดหุ้นไทยในปี 2565 มีแนวโน้มอยู่ในกรอบ 1,650-1,700 จุด  ซึ่งเป็นปีแห่งการเทิร์นอราวด์  โดยกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์จากการเปิดประเทศและกลุ่มหุ้นในระบบเศรษฐกิจแบบเก่า  โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงานจะเป็นกลุ่มที่โดดเด่น

ขณะเดียวกันในกลุ่มการเงินนั้น จะเห็นการควบรวมและขยายธุรกิจไปสู่ช่องทางดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งจะเป็นตัวเร่งให้มีโอกาสในการสร้างผลกำไรต่อราคาปรับตัวดีขึ้นส่วนกลุ่มสุดท้ายน่าจะเป็นกลุ่มหุ้นสุขภาพที่ยังมีความน่าสนใจอย่างต่อเนื่องหลังจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19

ยูโอบีประเมินตลาดหุ้นไทยปี65 อยู่ในกรอบ 1,650-1,700 จุด

ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์การลงทุน สายพัฒนาธุรกิจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงปี 2565 มองกรอบดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่ 1,650-1,670 จุด   

สำหรับธีมหุ้นเด่นที่น่าสนใจ ได้แก่  หุ้นที่เกี่ยวกับกลุ่ม Economy กลุ่มEnergy ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ จะกลับมาโดดเด่นในปี2565 จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยกึ่งขาขึ้น  ประกอบกับราคายังไม่แพงมาก  โดยที่สถาบันการเงินให้ความสนใจเกี่ยวกับการพัฒนาด้านเทคโนโลยีมากขึ้น ซึ่งจะช่วยผลักดันธุรกิจการเงินให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ    ส่วนหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและกลุ่มเฮลล์แคร์จะกลับมาโดดเด่นในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า เมื่อมีการเปิดประเทศเต็มที

อย่างไรก็ตาม สินทรัพย์ลงทุนอย่างรีทส์(REIT)และอสังหาริมทรัพย์เริ่มกลับมามีความน่าสนใจ   โดยเฉพาะ กองรีทส์ที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี  โดยรวมของรีทส์คาดว่าผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 4-5% และมีโอกาสสูงขึ้นในครึ่งหลังของปีหน้า  หากมีความชัดเจนเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย ขณะที่บอนด์ยีลด์ 10ปีมีโอกาสแตะ 2.00%

ส่วนแนวโน้มเงินค่าบาททิศทางแข็งค่าที่ระดับ  32.5บาทต่อดอลลาร์พร้อมประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)จะยังคงดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับ  0.50%ต่อปี    

ในส่วนกลยุทธ์การลงทุนในช่วงปี 2565  ดร.จิติพลแนะลดสัดส่วน พันธบัตร(บอนด์)  เพิ่ม ธีมอนาคต ซึ่งมี 3 ธีมเด่น ได้แก่ ธีมปฏิวัติอุตสาหกรรม   ธีมระบบการเงินไร้ตัวกลาง และธีมวิวัฒนาการของการบริโภค โดยธีมปฏิวัติอุตสาหกรรม มองว่า การใช้หุ่นยนต์เพิ่มผลผลิตด้านอุตสาหกรรมทํากําไรได้แล้ว AI เข้ามาเป็นส่วนหลักของทุกกิจกรรม และมีธุรกิจยานยนต์ไร้คนขับเป็นโอกาสในอนาคต

โดยธีมระบบการเงินไร้ตัวกลาง ได้รับการยอมรับมาก สถาบันเตรียมเข้าลงทุนแม้ว่ากฎระเบียบยังไม่ชัดเจน กลุ่มธนาคารพาณิชย์ได้รับหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและแนวโน้มดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ขณะที่Fintech ต้องมาพร้อมกับ Cybersecurity เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค

ส่วนธีมวิวัฒนาการของการบริโภคนั้น  มองการบริโภค Online จะฟื้นตัวกลับมาจากกระแส Metaverse แม้กฎเกณฑ์จะไม่สนับสนุนมาก แต่มีความเป็นแฟชั่นและเปลี่ยนแปลงเร็ว