22 ธ.ค.65 นายชลเดช เขมะรัตนา นายกสมาคมฟินเทคประเทศไทย กล่าวในรายการ "ฐานทอล์ก" จัดโดย "ฐานเศรษฐกิจดิจิทัลออนไลน์" ถึงภาพรวมทิศทางเงินดิจิทัลไทยปี 2565 ว่า ตนสนับสนุนสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง Central Bank Digital Currency (CBDC) ซึ่งขณะนี้ทั้งธนาคารกลางจีน สิงคโปร์ และไทยโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการใช้ในธุรกรรมโอนระหว่างธนาคาร ส่วนสกุลเงินดิจิทัลสำหรับประชาชนที่ออกโดย ธปท.( Retail CBDC ) ธปท.ประกาศจะเริ่มในปีหน้า หากสกุลเงินดิจิทัลนี้ออกมา เชื่อว่าจะช่วยในเรื่องการระดมทุนทำให้ต้นทุนต่ำลง และจะส่งผลต่อตลาดการเงิน และตลาดทุน แต่ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อประชาชน เพราะปัจจุบันการทำธุรกรรมทางการเงินของรายย่อยก็ผ่านตัวกลางอยู่แล้ว ซึ่งก็ขึ้นกับภาครัฐจะมีวิธีกระตุ้นให้เกิดการใช้เงินสกุล Retail CBDC อย่างไรก็ตาม ตนมองว่าในช่วงแรกภาครัฐอาจต้องทำผ่านมาตรการการ"แจกเงิน"เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายชลเดช กล่าวต่อ ถึงประเด็นเรื่องการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ยังขาดความชัดเจนขณะนี้ คือกำไรจากการเทรดเงินดิจิทัล เสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย 15% ถือเป็นการเสียภาษีสุดท้าย ( Final Tax ) เลยหรือไม่ นักลงทุนเวลาได้กำไร ได้ดอกเบี้ย ได้ปันผลจากสินทรัพย์ดิจิทัล จะต้องยื่นเป็นรายได้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วยหรือไม่ ซึ่งหากมีความชัดเจน จะเป็นผลดีเชื่อว่าผู้ประกอบธุรกิจหลายราย คงต่อแถวระดมทุน ( Investment token)
อย่างไรก็ดี ต้องขอบคุณ ก.ล.ต.ที่สร้างความชัดเจนว่าการระดมทุน Real Estate-backed ICO ต้องมาอยู่ใน พ.ร.บ.หลักทรัพย์ เช่นเดียวกับการระดมทุนกรณีการออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และกองรีท ( REIT: กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ) เพราะมีความคล้ายคลึงกัน การอยู่ในเกณฑ์เดียวกันจะสร้างเท่าเทียม และในอนาคตอาจเห็นการออกกองรีท ในเวอร์ชั่นใหม่ ๆ ที่เป็น Utility token เช่นซื้อโทเคนที่แบ็คโดยอสังหาริมทรัพย์ หรือคอนโด ฯ เป้นต้น
ส่วนประเด็นในเรื่อง stable coin ที่ธุรกิจนำมาลิงค์กับสินค้า ขณะนี้มีธุรกิจที่รับบิตคอยน์หรือคริปโทฯเพื่อใช้ในการชำระซื้อสินค้า ตนเชื่อว่าไม่น่าจะมีผลกระทบ มองเป็นเพียงกิมมิคทางการตลาดมากกว่า เนื่องจากบิตคอยน์เป็นเพียงสินทรัพย์ แต่ยังไม่สามารถแทนค่า"เงินสด" ยังไงก็ต้องนำบิตคอนย์ไปแลกเป็นเงินบาทมาซื้อสินค้า เพราะต้นทุนของผู้ประกอบการเป็นเงินบาท
นายกสมาคมฟินเทคประเทศไทย ยังกล่าวเตือนนักลงทุน สถานการณ์เก็งกำไรเงินดิจิทัลว่า ปัจจุบันบัญชีสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งระบบ ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2564 ตามรายงานของ ก.ล.ต. มีอยู่ 1.77 ล้านบัญชี (จากต้นปี 2563 มี 7 แสนบัญชี ) เทียบกับบัญชีซื้อขายหุ้น ปัจจุบันมีนักลงทุน 2.1 ล้านคน และมีประมาณ 5 ล้านบัญชี
แต่หากเทียบธุรกรรมซื้อขายอย่างน้อยเดือนละครั้ง ข้อมูล ณ เดือนพฤศจิกายน 2564 พบว่ามีนักลงทุนเทรดซื้อขายเงินดิจิทัล ประมาณ 6.4 แสนราย ( ครอบคลุมเฉพาะการซื้อขายผ่านศูนย์ซื้อขายเงินดิจทัล ที่ถูกกฏหมายภายใต้การกำกับของ ก.ล.ต.) ขณะที่ตลาดหุ้นมี 7.9 แสนราย อีกทั้งการซื้อขายหุ้น ปัจจุบันยังมีเพดานที่กำหนดราคาหุ้นจะขึ้นไปได้ในแต่ละวัน ขณะที่การเทรดเงินดิจิทัลไม่มีเพดาน