ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์โควิด-19 ทิศทางเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ และผลประกอบการไตรมาส 4/64 ของบจ.ไทย โดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านและยอดขายบ้านมือสองเดือนธ.ค. 64 ตลอดจนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ การประชุม BOJ ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนธ.ค. 64 ของญี่ปุ่นและยูโรโซน ตลอดจนตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/64 และข้อมูลเศรษฐกิจเดือนธ.ค. 64 ของจีน อาทิ การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร
สรุปรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (10-14ม.ค.2565) หุ้นไทยปรับขึ้น แต่แรงหนุนเริ่มจำกัดช่วงปลายสัปดาห์ โดยดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,672.63 จุด เพิ่มขึ้น 0.91% จากสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 84,041.18 ล้านบาท ลดลง 13.52% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 7.99% มาปิดที่ 682.26 จุด
หุ้นไทยทยอยปรับขึ้นสอดคล้องกับสถานะซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติตลอดทั้งสัปดาห์ นำโดย หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มพลังงาน (ที่มีแรงหนุนจากราคาน้ำมัน) รวมถึงกลุ่มธนาคารและไฟแนนซ์ก่อนการประกาศงบไตรมาส 4/64
นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศยังมีแรงหนุนจากถ้อยแถลงของประธานเฟด ซึ่งสะท้อนว่า เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างไรก็ดีกรอบขาขึ้นของหุ้นไทยเริ่มจำกัดช่วงปลายสัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนกลับมากังวลต่อโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในเดือนมี.ค.