“5 หุ้นเด็ด ต้องมีในมือ” เอเซียพลัส ประเมินหุ้นไทยปีนี้มีลุ้น 1,860จุด

21 ก.พ. 2565 | 10:07 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ก.พ. 2565 | 19:24 น.

ตลาดหุ้นไทยปี 2565 บล.เอเซียพลัส วิเคราะห์หุ้นเด่น SCC,MAKRO,STEC,BH และ AOT ขณะดอกเบี้ย - เงินเฟ้อต่ำ หนุนดัชนี SET อาจโตทะลุ 1,810จุด สูงสุด 1,860 จุด หลังหุ้นธนาคาร , ค้าปลีก,อสังหาฯ และวัสดุก่อสร้าง ฟื้นยกแผง

21 ก.พ.2565 - นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด วิเคราะห์ SET - ตลาดหุ้นไทยปี 2565 และ 5 หุ้นเด่น ในงานสัมนา " หุ้นไทยปีขาล เสือคะนอง หรือ เสือลำบาก " ซึ่งจัดขึ้นโดยหนังสือฐานเศรษฐกิจ ว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้ ต้องประเมินจาก 2 ปัจจัย สำคัญ ได้แก่ 

  1. ภาพใหญ่ของเศรษฐกิจไทย โดยหลายสำนักประเมิน จีดีพีไทยปี 2565 ร่วมกันว่า มีโอกาสเติบโตได้มากถึง 3.5 - 4 % หลังจากผ่านพ้นจากจุดต่ำสุดไตรมาส 3 ของปีที่ผ่านมาแล้ว ขณะเดียวกันพบอัตราส่วนกำไรต่อหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น น่าจะโตได้ถึง 11% ซึ่งถือเป็นการฟื้นตัวที่ดี 
  2. สภาพคล่องในระบบการเงิน วันนี้ตลาดหุ้นไทยมีเงินเหลือเฟือมากถึง 16 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนมหาศาล  

ส่วนปัจจัยความน่ากังวลในเรื่องธนาคารกลางสหรัฐ (Fed)เตรียมขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะมีผลต่ออัตราดอกเบี้ยของไทย และส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นหรือไม่นั้น นายเทิดศักดิ์ ระบุว่า แม้ผลสำรวจของ Bloomberg พบว่า Fed มีโอกาสขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 5 ครั้งในการประชุมเดือน มี.ค., พ.ค., มิ.ย., ก.ย. และ ธ.ค. 2565 มากกว่าคราวก่อนที่คาดขึ้นราว 3-4 ครั้ง แต่เมื่อดูความสัมพันธ์กับ กนง.ของไทยที่ผ่านๆมา มีความต่าง และไม่สัมพันธ์กันอยู่หลายๆครั้ง  

“5 หุ้นเด็ด ต้องมีในมือ”  เอเซียพลัส ประเมินหุ้นไทยปีนี้มีลุ้น 1,860จุด

เนื่องจากนโยบายการเงิน ไม่จำเป็นต้องลอกการบ้านกัน  และขณะนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังมีท่าทีชัดเจนในการคงอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำ  เนื่องจากไทยไม่ได้มีความน่ากังวลถึงตัวเลขเงินเฟ้อเหมือนสหรัฐอเมริกา ที่พบว่า เมื่อนำมาลบด้วยดอกเบี้ยนโยบาย เกิดช่องว่างสูงถึง 6% ขณะไทยอยู่แค่ 1.6% เท่านั้น

“5 หุ้นเด็ด ต้องมีในมือ”  เอเซียพลัส ประเมินหุ้นไทยปีนี้มีลุ้น 1,860จุด

ปัจจัยบวกตลาดหุ้นไทยอีกตัว คือ อย่างที่ระบุว่า เราเห็นการฟื้นตัวของจีดีพี และกำไรของบริษัทจดทะเบียน อีกทั้งความเสี่ยงในระบบต่างกันเยอะกับปีก่อน ทำให้เงินทุนต่างประเทศ พร้อมจะไหลเข้ามาในตลาดที่ผลตอบแทนสูงกว่า และตลาดหุ้นไทยจะเป็นเป้า โดยต่างชาติเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มธุรกิจการเงิน,ค้าปลีก ,อสังหาริมทรัพย์ และวัสดุก่อสร้าง ที่เคยถดถอยหนักในช่วงปีที่ผ่านมา

 

โดยหากดูโครงสร้างตลาดหุ้น พบน้ำหนักมากกว่า 1 ใน 3 กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มนี้ เตรียมดูดเม็ดเงิน คาดจะเห็นการRebalance ประเมิน สมมุติฐานการเติบโตของ ดัชนี set บนสมมุติฐานพื้นฐาน ปี 2565 Base case scenario หรือ การคาดการณ์สถานการณ์ที่เป็นไปอย่างปกติที่ควรจะเป็น ตลาดหุ้นไทยจะโตได้ทะลุ 1,810 จุด ขณะ  Best case scenario หรือ การคาดการณ์สถานการณ์ที่เป็นไปอย่างดีที่สุด  ตลาดหุ้นไทยจะโตได้ถึง 1,860 จุด 

“5 หุ้นเด็ด ต้องมีในมือ”  เอเซียพลัส ประเมินหุ้นไทยปีนี้มีลุ้น 1,860จุด

" เทียบสถานการณ์กับปี 2564 ซึ่งตลาดหุ้นไทยเผชิญปัจจัยลบรุนแรง ทั้งโควิด19 , การเมืองรุนแรง และจีดีพีไม่ได้เติบโตมากนัก แต่หุ้นไทยยังบวก 14% ขณะปีนี้ปัจจัยต่างๆ หน้าตาดีกว่ามาก ฉะนั้น ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสเติบโตดี " 


4 ปัจจัยต้องจับตาตลาดหุ้นไทย 

นายเทิดศักดิ์ ยังระบุว่า ขณะนี้หลายฝ่ายเริ่มมีความกังวลถึงปัจจัยลบ อย่าง 1.สถานการณ์ทางการเมือง ที่รัฐบาลมีแนวโน้มอยู่ไม่ครบเทอม อาจนำไปสู่การประกาศลาออกของนายกรัฐมนตรี หรือ การประกาศยุบสภา ว่า ไม่น่าจะกระทบต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก อีกแง่ หากมีสถานการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นจริง ตลาดหุ้นไทยอาจเป็นบวกด้วยซ้ำ เนื่องจาก ยังมองว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงตามระบอบ ยกเว้น มีการปฎิวัติ ทำให้ตลาดหุ้นตกใจ แต่ทั้งนี้ คาดมีแนวโน้มดังกล่าวต่ำ เนื่องจาก ขณะนี้ กฎหมายลูกสำหรับการเลือกตั้งครั้งใหม่ยังไม่แล้วเสร็จ 

 

2. สถานการณ์โควิด เนื่องจาก แม้ขณะนี้คนเริ่มไม่กังวลเรื่องการระบาดแล้ว และมาตรการรัฐยังไม่เข้มงวดไปมากกว่านี้ แต่ท้ายที่สุดยังไม่มีใครตอบได้ ว่าจะเกิดกลายพันธุ์อีกหรือไม่ 

 

3.สงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซีย  ที่ยังมองภาพบทสรุปไม่ออก  

 

4. การที่ Fed ส่งปรับลดขนาดงบดุล (Balance Sheet Reduction) ซึ่งช่วงเวลาดำเนินการยังไม่แน่ชัดนัก และอาจไม่ได้มากเหมือนที่กังวลกัน ฉะนั้น ผลกระทบมีบ้างแต่ไม่มาก 


เคาะ 5 หุ้น เด็ดน่าลงทุน 

“5 หุ้นเด็ด ต้องมีในมือ”  เอเซียพลัส ประเมินหุ้นไทยปีนี้มีลุ้น 1,860จุด

ทั้งนี้ สำหรับหุ้นไทยที่น่าลงทุนนั้น มองไว้ 5 ตัว จากพื้นฐานดี ดังนี้ 

 

  • SCC  เนื่องจากเห็นวัฎจักรกลับมาฟื้นตัวชัดเจน และคาดจะเติบโตสมบูรณ์ในช่วงปี 2566 และเริ่มเห็นแรงซื้อกลับจำนวนมาก
  • MAKRO  เมื่อประเมินราคาหุ้นปัจจุบัน กับ ช่วงก่อนการซื้อกิจการโลตัส ซึ่งยังไม่ถูกบวกยอดขายปีละแสนล้านบาทเข้าไปนั้น คาด ไตรมาสแรกปีนี้ จะเห็นสยามแมคโครเติบโตอย่างก้าวกระโดด
  • STEC  ภาพบวกมหาศาลจากการลงทุนของภาครัฐมากขึ้น
  • BH  เป็นหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลที่เห็นเทรนด์รายได้เติบโตชัดเจน  และคาดช่วงครึ่งปีหลัง เปิดประเทศ ต่างชาติเข้ามาได้ จะทำให้ BH มีรายได้มากขึ้น 
  • AOT  เป็นหุ้นที่ถูกกดมานาน จากการเปิดๆปิดๆ ประเทศ แต่คาดปีนี้ จะเห็นมาตรการการเปิดประเทศที่ชัดเจนมากขึ้น โดยอัตราการกลับไปปิดประเทศซ้ำรอยไม่น่าจะมีขึ้นอีก ทำให้จำนวนผู้โดยสารเหวี่ยงกลับ และมีรายได้เพิ่มขึ้น  

 

ที่มา : บล.เอเซียพลัส ,ตลท.