ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 32,945.24 จุด เพิ่มขึ้น 1.05 จุด หรือ +0.003% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,173.11 จุด ลดลง 31.20 จุด หรือ -0.74% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,581.22 จุด ลดลง 262.59 จุด หรือ -2.04%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวน ก่อนที่การประชุมนโยบายการเงินของเฟดจะเปิดฉากขึ้นในวันอังคารที่ 15 มี.ค. และจะมีการแถลงผลการประชุมในวันพุธที่ 16 มี.ค.ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับช่วงเช้าตรู่ของวันพฤหัสบดีที่ 17 มี.ค.ตามเวลาไทย ขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2561
ความกังวลเกี่ยวกับสงครามรัสเซีย-ยูเครนยังเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขาย โดยรายงานล่าสุดระบุว่า การเจรจาสันติภาพรอบที่ 4 ระหว่างยูเครนและรัสเซียเมื่อวานนี้ได้เสร็จสิ้นลงโดยยังไม่ได้ข้อสรุป ทำให้ทั้งสองฝ่ายพักการเจรจาชั่วคราว ก่อนที่จะเริ่มการเจรจาครั้งใหม่ในวันนี้ (15 มี.ค.)
หุ้น 7 ใน 11 กลุ่มที่คำนวนณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง 2.89% หลังจากราคาน้ำมัน WTI ดิ่งลงเกือบ 6% เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเชฟรอน ร่วงลง 2.42% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ดิ่งลง 2.86% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ ลดลง 1.86% หุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 3.58%
ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง 1.9% โดยถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นทะลุระดับ 2.10% ทั้งนี้ หุ้นเทสลา ร่วงลง 3.64% หุ้นไมโครซอฟท์ ลดลง 1.30% หุ้นอัลฟาเบท ดิ่งลง 3.02% หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส ลดลง 0.52% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ร่วงลง 2.74%
หุ้นแอปเปิล ร่วงลง 2.66% หลังจากบริษัทฟ็อกซ์คอนน์ ซึ่งเป็นผู้ผลิต iPhone ให้กับแอปเปิล ประกาศระงับการผลิตในโรงงานที่เมืองเซินเจิ้น หลังจากรัฐบาลจีนประกาศล็อกดาวน์เมืองแห่งนี้เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
อย่างไรก็ดี การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐช่วยหนุนดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้น 1.25% โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้น 2.18% หุ้นซิตี้กรุ๊ป บวก 0.13% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก ทะยานขึ้น 2.84%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กประกาศปรับเวลาซื้อขายเร็วขึ้น 1 ชั่วโมง เนื่องจากเข้าสู่ช่วง Daylight Saving Time โดยเปลี่ยนแปลงเวลาซื้อขายจากเดิม 21:30-04:05 น. ตามเวลาไทย เป็น 20:30-03:05 น.ตามเวลาไทย ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 13 มี.ค.-6 พ.ย. 2565