ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้"อ่อนค่า" ที่ระดับ 33.66 บาท/ดอลลาร์

24 มี.ค. 2565 | 00:53 น.
อัปเดตล่าสุด :24 มี.ค. 2565 | 18:08 น.

ค่าเงินบาทยังคงผันผวนในกรอบกว้างระหว่างวันมีโอกาสที่จะเห็นอ่อนค่าทดสอบแนวต้านในโซน 33.75 บาทต่อดอลลาร์อีกครั้ง ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาด และราคาสินค้าพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  33.66 บาทต่อดอลลาร์อ่อนค่าลงจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  33.60 บาทต่อดอลลาร์

 

นายพูน  พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทยังคงผันผวนในกรอบกว้าง โดยระหว่างวันมีโอกาสที่จะเห็นเงินบาทอ่อนค่า ไปทดสอบแนวต้านในโซน 33.75 บาทต่อดอลลาร์ได้อีกครั้ง

ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาด และราคาสินค้าพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดกังวลว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยอาจขาดดุลมากขึ้นและอาจขาดดุลนานกว่าคาด หากราคาสินค้าพลังงานอยู่ในระดับสูงนาน ขณะที่การท่องเที่ยวยังฟื้นตัวได้ไม่ดีนัก

 

ทั้งนี้ เรามองว่า ยังคงต้องติดตามทิศทางฟันด์โฟลว์จากนักลงทุนต่างชาติ หลังจากที่ล่าสุด นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมาทยอยกลับเข้ามาซื้อสุทธิหุ้นไทย ขณะเดียวกัน เราเริ่มเห็น แรงขายบอนด์ระยะสั้นของนักลงทุนต่างชาติที่ลดลงต่อเนื่อง ซึ่งต้องติดตามว่านักลงทุนต่างชาติ จะเดินหน้าเทขายต่อ หรือ จะกลับมาซื้อสุทธิบอนด์ระยะสั้นอย่างต่อเนื่องได้หรือไม่

 

ทั้งนี้ ในระยะสั้น เงินบาทยังคงมีแนวต้านของเงินบาทจะอยู่ใกล้โซน 33.75 บาทต่อดอลลาร์  ซึ่งเรายังคงเห็นบรรดาผู้ส่งออกต่างมารอขายเงินดอลลาร์ในช่วงดังกล่าว ขณะที่แนวรับจะอยู่ในช่วง 33.20 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งใกล้กับแนวรับเส้นค่าเฉลี่ย 100 วันและ 200 วัน

 

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.55-33.75 บาท/ดอลลาร์

 

ตลาดการเงินพลิกกลับมาปิดรับความเสี่ยงอีกครั้ง หลังสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนมีแนวโน้มยืดเยื้อ เนื่องจากการเจรจาสันติภาพยังไม่มีความคืบหน้า ทำให้ผู้เล่นในตลาดกังวลว่าบรรดาประเทศฝั่งตะวันตกอาจใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียเพิ่มเติม

 

โดยเฉพาะการคว่ำบาตรพลังงานจากรัสเซีย ทำให้ราคาสินค้าพลังงานยังคงปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ ราคาสินค้าพลังงาน โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบยังได้แรงหนุนเพิ่มเติม หลังบริษัท CPC ของคาซัคสถานอาจระงับการส่งออกน้ำมันจากผลกระทบของพายุ (คาซัคสถานส่งออกน้ำมันราว 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน คิดเป็น 1.2% ความต้องการใช้น้ำมันโลก)

 

ขณะเดียวกัน EIA สหรัฐฯ ยังได้รายงานยอดน้ำมันดิบคงคลัง ลดลงกว่า 2.5 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่ายอดน้ำมันดิบคงคลังจะเพิ่มขึ้น 1 แสนบาร์เรล

 

การปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าพลังงานได้กดดันให้ผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอ ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อสูง หรือ Stagflation อีกครั้ง ทำให้ในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดทยอยขายทำกำไรสินทรัพย์เสี่ยงที่รีบาวด์ขึ้นมาในช่วงก่อนหน้า กดดันให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลง -1.32% ส่วน ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.23%

 

ส่วนในฝั่งยุโรป ความกังวลสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงแนวโน้มการเกิด Stagflation ได้กดดันให้ ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ปรับตัวลงราว -1.45% นำโดยแรงขายหุ้นกลุ่ม Cyclical อาทิ หุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย รวมถึงกลุ่มการเงิน Louis Vuitton -3.0%, BNP Paribas -2.6%% รวมถึงหุ้นกลุ่มเทคฯ ASML -2.1%

 

ส่วนทางด้านฝั่งตลาดบอนด์ การกลับมาปิดรับความเสี่ยงของผู้เล่นในตลาดการเงิน ส่งผลให้ผู้เล่นบางส่วนเลือกที่จะถือบอนด์ระยะยาวเพื่อหลบความผันผวนในตลาด ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลง สู่ระดับ 2.31%

 

อย่างไรก็ดี แม้ว่าในระยะสั้น บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ จะมีแนวโน้มผันผวน เนื่องจากตลาดยังมีปัจจัยความไม่แน่นอนของสงครามกดดันอยู่ ทว่า เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ หากตลาดเริ่มรับรู้การปรับลดงบดุลของเฟด

 

โดยเราประเมินว่า อาจเห็นบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ แตะจุดสูงสุดใหม่ในปีนี้ที่ระดับ 2.50%-2.60% ได้ในช่วงการประชุมเฟดเดือนพฤษภาคม ก่อนที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะแกว่งตัว sideways ในช่วงที่เหลือของปีนี้

 

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ยังคงทรงตัวเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ยังเคลื่อนไหวใกล้ระดับ 98.60 จุด โดยผู้เล่นบางส่วนยังเลือกที่จะถือครองเงินดอลลาร์เพื่อหลบความผันผวนในตลาดจากทั้งความเสี่ยงสงครามและโอกาสเกิด Stagflation

 

นอกจากนี้ ภาวะตลาดปิดรับความเสี่ยงก็หนุนให้ราคาทองคำสามารถรีบาวด์กลับขึ้นมาใกล้ระดับ 1,946 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเรามองว่า ควรจับตาแรงขายทำกำไรทองคำ หากราคาทองคำยังไม่สามารถผ่านแนวต้านที่ 1,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ อาจช่วยหนุนให้เงินบาทไม่ได้อ่อนค่าไปมากในช่วงนี้

 

สำหรับวันนี้ ตลาดจะรอติดตามสถานการณ์สงครามรวมถึงการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซีย-ยูเครน รวมถึง บทสรุปของการประชุมระหว่างผู้นำสหรัฐฯ,พันธมิตร NATO, กลุ่มประเทศยุโรป รวมถึง กลุ่มประเทศ G7 ว่าจะมีท่าทีต่อสถานการณ์สงครามอย่างไร

 

โดยเฉพาะประเด็นมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย หลังเริ่มมีการพูดถึงมาตการคว่ำบาตรการนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย ซึ่งหากบรรดาประเทศฝั่งตะวันตก โดยเฉพาะยุโรปพร้อมใจกันคว่ำบาตรการนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย อาจส่งผลให้ราคาสินค้าพลังงานพุ่งสูงขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่และกดดันให้ตลาดการเงินผันผวนรุนแรงจากความกังวลภาวะ Stagflation

 

และนอกเหนือจากภาวะสงคราม ในด้านข้อมูลเศรษฐกิจ ตลาดจะรอติดตามแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนมีนาคม

 

โดยในฝั่งสหรัฐฯ ตลาดประเมินว่า ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจชะลอตัวลงเล็กน้อยจากผลกระทบของสงครามรัสเซีย-ยูเครนสะท้อนผ่านการขยายตัวของภาคการผลิตอุตสาหกรรมที่ชะลอลง โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing PMI) เดือนมีนาคมอาจลดลงเล็กน้อยสู่ระดับ 56.5 จุด (ดัชนีเกินระดับ 50 จุด หมายถึง ภาวะขยายตัว)

 

เช่นเดียวกันกับภาคการบริการที่จะขยายตัวในอัตราชะลอลง หลังค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้น สอดคล้องกับภาวะเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นและอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (Services PMI) อาจลดลงเล็กน้อยสู่ระดับ 54 จุด

 

ส่วนในฝั่งยุโรป ผลกระทบจากสงครามอาจกดดันให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรปชะลอลง โดยในฝั่งภาคการผลิตจะเผชิญทั้งปัญหาต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นและปัญหาด้าน Supply Chain ทำให้ภาคการผลิตขยายตัวในอัตราชะลอลง สะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการผลิตที่อาจลดลงสู่ระดับ 55 จุด ส่วนในฝั่งภาคการบริการมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงไม่มาก เพราะถึงจะเผชิญแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้น แต่กิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการบริการยังมีแรงหนุนจากสถานการณ์ระบาดโอมิครอนที่ดีขึ้นและไม่ได้รุนแรงมากนัก ทำให้ดัชนี PMI ภาคการบริการจะลดลงเล็กน้อยสู่ระดับ 54 จุด 

 

ในฝั่งเอเชีย ตลาดประเมินว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นในเดือนมีนาคมมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในส่วนภาคการบริการ หลังรัฐบาลได้ทยอยผ่อนคลายมาตรการ lockdown ซึ่งจะสะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการบริการที่จะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 48 จุด (ดัชนีต่ำกว่า 50 จุด หมายถึง ภาวะหดตัว) จากระดับ 44.2 จุด ในเดือนก่อนหน้า

 

ทว่าในฝั่งการผลิตอุตสาหกรรมอาจขยายตัวในอัตราชะลอจากผลกระทบของสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่กดดันให้ต้นทุนภาคการผลิตพุ่งสูงขึ้น โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตอาจลดลงสู่ระดับ 52 จุด ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนของผลกระทบจากสงครามอาจกดดันให้ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) ยังจำเป็นที่จะต้องใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อ โดยตลาดมองว่า BSP จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.00% ทั้งนี้ BSP อาจส่งสัญญาณพร้อมขึ้นดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปีได้ หากเศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้นและเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายที่ 2%-4% (เงินเฟ้อล่าสุดอยู่ที่ระดับ 3.00%)

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.67 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.59 บาทต่อดอลลาร์ฯ เงินบาทอ่อนค่าลง สวนทางเงินดอลลาร์ฯ ที่ได้รับแรงหนุนจากสัญญาณคุมเข้มนโยบายการเงินจากเจ้าหน้าที่เฟด

 

อาทิ ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์ที่ระบุถึงความเป็นไปได้ของการปรับขึ้นดอกเบี้ยและการปรับลดงบดุลในการประชุมรอบเดียวกัน และยังกล่าวสนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.50% ในการประชุมบางรอบเพื่อสกัดเงินเฟ้อสหรัฐฯ นอกจากนี้เงินดอลลาร์ฯ ยังแข็งค่าขึ้นท่ามกลางความกังวลต่อภาวะสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ขณะที่ตลาดรอติดตามการประชุมร่วมกันของสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรที่อาจมีการเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียด้วยเช่นกัน

 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่  33.50-33.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์ยูเครน-รัสเซีย ทิศทางฟันด์โฟลว์ สถานการณ์โควิด ข้อมูลการส่งออกของไทย และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนก.พ. ดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนมี.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์