ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,721.12 จุด เพิ่มขึ้น 137.55 จุด หรือ +0.40%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,488.28 จุด ลดลง 11.93 จุด หรือ -0.27% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,711.00 จุด ลดลง 186.30 จุด หรือ -1.34%
ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 0.28%, ดัชนี S&P500 ปรับตัวลง 1.16% และดัชนี Nasdaq ร่วง 3.86% เนื่องจากตลาดได้รับผลกระทบจากความวิตกที่ว่า แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วของเฟดจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง
หุ้น 7 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดบวก โดยกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 2.76% แต่กลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง 1.43% และเป็นกลุ่มที่ปรับตัวย่ำแย่ที่สุด
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น 1.18% หลังร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 13 เดือนเมื่อวันพฤหัสบดี โดยหุ้นกลุ่มธนาคารได้แรงหนุนจากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 ปีที่ 2.73%
หุ้นกลุ่มธนาคารรายใหญ่ที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นตามกัน โดยหุ้นเจพีมอร์แกน เชส พุ่ง 1.8%, หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา คอร์ป บวก 0.7%, หุ้นซิตี้กรุ๊ป เพิ่มขึ้น 1.7% และหุ้นโกลด์แมน แซคส์ พุ่ง 2.3%
ทั้งนี้ ธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐจะเริ่มรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกในสัปดาห์หน้า ซึ่งคาดว่าจะรายงานผลประกอบการลดลงจากปีก่อนหน้า
หุ้นเทสลา, อินวิเดีย และอัลฟาเบท ร่วงลงราว 1.9-4.5% โดยถูกกดดันจากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวขึ้น
ดัชนี NYSE FANG+TM ซึ่งประกอบด้วยหุ้นแอมะซอน.คอมและหุ้นแอปเปิล ร่วง 1.76% และหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ ร่วง 2.42%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐที่เปิดเผยในวันศุกร์ ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งพุ่งขึ้น 2.5% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบรายเดือน และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.1% หลังจากเพิ่มขึ้น 1.2% ในเดือนม.ค.
เมื่อเทียบรายปี สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งพุ่งขึ้น 19.9% ในเดือนก.พ.ส่วนยอดขายในภาคค้าส่งเพิ่มขึ้น 1.7% หลังจากพุ่งขึ้น 5.0% ในเดือนม.ค.