ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 32,977.21 จุด ร่วงลง 939.18 จุด หรือ -2.77% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,131.93 จุด ร่วงลง 155.57 จุด หรือ -3.63% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,334.64 จุด ร่วงลง 536.89 จุด หรือ -4.17%
ดัชนี S&P 500 ร่วงลงวันเดียวมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2563 และดัชนี Nasdaq ลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2563 และในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 2.5%, ดัชนี S&P500 ลดลง 3.3% และดัชนี Nasdaq ร่วงลง 3.9%
ดัชนี Nasdaq ร่วงลงราว 13% ในเดือนเม.ย.ซึ่งเป็นการปรับตัวลงรายเดือนที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินโลกในปี 2551 ส่วนดัชนี S&P500 ร่วงลง 13% แล้วในปีนี้ ซึ่งเป็นการลดลง 4 เดือนรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2475
หุ้นทั้ง 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ร่วงลง นำโดยกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่ดิ่งลง 5.9% และกลุ่มอุตสาหกรรมร่วงลง 4.9%
การเปิดเผยแนวโน้มผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทจดทะเบียน และความวิตกที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จะคุมเข้มนโยบายการเงินเชิงรุก ได้ส่งผลกระทบต่อหุ้นตัวใหญ่ๆ ในกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มเติบโตในเดือนนี้
นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในสัปดาห์หน้า (3-4 พ.ค.65) ซึ่งบรรดาเทรดเดอร์คาดว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% เพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจด้วย โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ดีดตัวขึ้น 0.9% ในเดือนมี.ค. จากระดับ 0.5% ในเดือนก.พ.