ก.ล.ต.ลงโทษทางแพ่งผู้กระทำความผิด 6 ราย อินไซด์ซื้อหุ้น RCI

11 พ.ค. 2565 | 13:12 น.
อัปเดตล่าสุด :11 พ.ค. 2565 | 20:21 น.

ก.ล.ต.ดำเนินคดีด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิด"รุ่งโรจน์ แสงศาสตรา" กับพวกรวม 6 ราย กรณีซื้อหุ้นบริษัท โรแยล ซีรามิค อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) (RCI) โดยอาศัยข้อมูลภายใน และช่วยเหลือการกระทำความผิด สั่งปรับผู้กระทำความผิดเป็นเงินรวม 11,395,486 บาท

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า บุคคลจำนวน 6 ราย ได้แก่

 

  • 1. นายรุ่งโรจน์ แสงศาสตรา (ขณะกระทำความผิดดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการบริหาร กรรมการ RCI ประธานกรรมการบริหาร และประธานกรรมการบริษัท ไดนาสตี้ เซรามิค จำกัด (มหาชน) (DCC)
  • 2.นางฉัฐรส อุตตมะโยธิน
  • 3. นางสาวสุภาณี ทองเปล่งศรี
  • 4.นายนครินทร์ แสงศาสตรา
  • 5.นายวิบูลย์ วัชรสุรังค์ (ขณะกระทำความผิดดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการ RCI 
  • 6.นางวารี แก้วจินดา

 

ได้ซื้อหุ้น RCI โดยอาศัยข้อมูลภายใน หรือช่วยเหลือการกระทำความผิด

 

นายรุ่งโรจน์และนายวิบูลย์ได้ล่วงรู้ข้อมูลภายในเกี่ยวกับการที่ DCC ประกาศทำคำเสนอซื้อหุ้น RCI ทั้งหมดโดยสมัครใจที่ราคาหุ้นละ 4.00 บาท ซึ่งเป็นราคาเสนอซื้อที่สูงกว่าราคาตลาดที่มีการซื้อขายหุ้น RCI ในขณะนั้น 

 

ในระหว่างวันที่ 10 พฤษภาคม – 27 สิงหาคม 2562 นายรุ่งโรจน์ได้ใช้ข้อมูลภายในซื้อหุ้น RCI โดยใช้บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของ นางฉัฐรส นางสาวสุภาณี นายนครินทร์ และบุคคลภายนอก 1 ราย ซึ่งเป็นอดีตแม่บ้าน ส่วนนายวิบูลย์ได้ใช้ข้อมูลภายในซื้อหุ้น RCI โดยใช้บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของนางวารี ก่อนที่ DCC เปิดเผยข้อมูลภายในดังกล่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันที่ 28 สิงหาคม 2562 

 

การกระทำของนายรุ่งโรจน์ และนายวิบูลย์ เป็นความผิดฐานซื้อหุ้น RCI โดยอาศัยข้อมูลภายในตามมาตรา 242(1) ซึ่งมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 296 และมาตรา 296/2 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 

 

ส่วนการกระทำของนางฉัฐรส นางสาวสุภาณี นายนครินทร์ และนางวารี เป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานซื้อหุ้น RCI โดยอาศัยข้อมูลภายในตามมาตรา 242(1) ซึ่งมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 296 มาตรา 296/2 ประกอบมาตรา 315 แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน

 

คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) มีมติให้นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับกับผู้กระทำความผิดทั้ง 6 ราย ดังกล่าว โดยกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่ง ได้แก่ ค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับ ชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์ ดังนี้ 
 

  • 1. นายรุ่งโรจน์ ชำระค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับ และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ  ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 8,128,126 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร เป็นเวลา 20 เดือน
  • 2. นายวิบูลย์ ชำระค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับ และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิดเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 966,808 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารเป็นเวลา 14 เดือน
  • 3.นางฉัฐรส นางสาวสุภาณี และนายนครินทร์ ชำระค่าปรับทางแพ่ง และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น รายละ 575,138 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารเป็นเวลา รายละ 13 เดือน
  • 4.นางวารี ชำระค่าปรับทางแพ่ง และชดใช้ค่าใช้จ่ายของสำนักงาน ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิดเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 575,138 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร เป็นเวลา 9 เดือน

 

การกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารดังกล่าวข้างต้นจะมีผลนับตั้งแต่วันที่ผู้กระทำความผิดลงนามในบันทึกการยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด หากผู้กระทำความผิดไม่ยินยอม ก.ล.ต. จะมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลแพ่งเพื่อกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งในอัตราสูงสุดที่กฎหมายบัญญัติโดยไม่ต่ำกว่าอัตราที่ ค.ม.พ. กำหนด

 

ทั้งนี้ เงินค่าปรับทางแพ่งและเงินค่าชดใช้คืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำความผิดเป็นรายได้แผ่นดินที่นำส่งกระทรวงการคลัง