ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 31,261.90 จุด เพิ่มขึ้น 8.77 จุด หรือ +0.03%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,901.36 จุด เพิ่มขึ้น 0.57 จุด หรือ +0.01% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,354.62 จุด ลดลง 33.88 จุด หรือ -0.30%
ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 2.9%, ดัชนี S&P500 ลดลง 3.0% และดัชนี Nasdaq ร่วงลง 3.8%
หุ้น 6 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดบวก นำโดยกลุ่มเฮลท์แคร์เพิ่มขึ้น 1.26% ขณะที่หุ้นลบนำโดยกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยซึ่งลดลง 1.53%
หุ้นเทสลา ร่วงลง 6.4% หลังนายอีลอน มัสก์ ซีอีโอ ปฏิเสธรายงานข่าวที่ว่า เขาได้ล่วงละเมิดทางเพศพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินส่วนตัวในปี 2559
หุ้นขนาดใหญ่อื่น ๆ ปรับตัวลงด้วย โดยหุ้นอัลฟาเบท ร่วง 1.3% และหุ้นอินวิเดีย ร่วง 2.5% ขณะที่หุ้นไฟเซอร์สวนทาง พุ่งขึ้น 3.6% ซึ่งช่วยหนุนดัชนี S&P500
ความวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นและอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นนั้นฉุดตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลงในปีนี้ นอกจากนี้ การเปิดเผยผลประกอบการที่น่าผิดหวังจากบริษัทวอลมาร์ทและบริษัทค้าปลีกรายอื่น ๆ ในสัปดาห์นี้นั้น ได้เพิ่มความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจด้วย
การคาดการณ์ผลประกอบการที่น่าผิดหวังจากบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ อาทิ วอลมาร์ท และทาร์เก็ต อิงค์ ได้ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการซื้อขาย และราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นได้เริ่มที่จะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคสหรัฐ
ส่วนบรรดาเทรดเดอร์ได้ปรับตัวรับโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในเดือน มิ.ย.และก.ค.
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจนั้น มีแนวโน้มที่จะทำให้การซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวนต่อไป
"เราเชื่อว่าตลาดจะยังคงปั่นป่วนต่อไปจนกว่านักลงทุนจะมีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย, อัตราดอกเบี้ย และความเสี่ยง" นักวิเคราะห์จากยูบีเอสกล่าวเมื่อวันศุกร์