นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลัง เป็นประธานการลงนาม MOU ระหว่าง EXIM Bank , สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ,สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ,สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ในโครงการความร่วมมือสนับสนุนผู้ประกอบการตลอด Value Chain ของภาคการส่งออก
โดยระบุว่า การส่งออกจะเป็นตัวหลักของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 65 ซึ่งขณะนี้ไทยกำลังเผชิญปัญหาราคาพลังงานและอาหาร และความขัดแย้งของรัสเซียและยูเครน
อย่างไรก็ตามยังพบว่าในช่วง ไตรมาส 1/65 ภาคส่งออกยังสามารถขยายตัวได้ถึง 15% ดังนั้น เพื่อสนับสนุนภาคส่งออก จึงได้สั่งการให้ EXIM Bank สนับสนุนสินเชื่อ โดยจะเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการตลอดซัพพลายเซนของการส่งออก ไม่ใช่เพียงเฉพาะผู้ส่งออกรายใหญ่ รวมทั้งให้ EXIM Bank ปลดล็อกข้อจำกัดในการให้ผู้ส่งออกรายใหม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อส่วนนี้ได้ง่ายขึ้นด้วย
ด้านนายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM bank กล่าวว่า เป็นหมายของโครงการนี้ คือ การสร้างผู้ส่งออกที่เป็น SMEs ให้ได้ถึง 1 แสนราย ภายใน 4 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันมี SMEs ที่สามารถส่งออกได้ราว 3 หมื่นรายเท่านั้น
สำหรับโครงการความร่วมมือสนับสนุนผู้ประกอบการตลอด Value Chain ของภาคการส่งออก จะเป็นการให้วงเงินสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยต่ำไม่เกิน 5 % โดยจะให้สินเชื่อต่อรายสูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาท
และไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ในกรณี SMEs รายนั้น เป็นสมาชิกของทั้งสามสมาคมดังกล่าว นอกเหนือจากการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ EXIM และสามองค์กรดังกล่าวยังได้ร่วมมือกับวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล ในการจัดทำหลักสูตรพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการ ในโลกการค้ายุคใหม่ด้วย