นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคาร ทิสโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO เปิดเผยว่า หลังจากที่ธนาคารทิสโก้แนะนำหุ้นเมกะเทรนด์กลุ่มเทคโนโลยีแห่งอนาคต และนวัตกรรมการแพทย์ที่คาดว่า มีโอกาสเติบโต 15-27% ต่อปี ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ช่วยฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจชะลอและดอกเบี้ยขาขึ้น
แต่ยังพบว่า มีนักลงทุนหลายท่านต้องการการลงทุนในรายประเทศ และส่วนใหญ่ยังคงมี ‘หุ้นยุโรป’ อยู่ในพอร์ตการลงทุน ขณะที่ธนาคารทิสโก้แนะนำให้ ‘ขาย’ หุ้นยุโรปมาระยะหนึ่งแล้ว เพราะประเมินว่า ยุโรปมีโอกาสที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเร็วกว่าภูมิภาคอื่น
ปัจจัยที่ทำให้ธนาคารทิสโก้คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจยุโรปจะเข้าสู่ภาวะถดถอยมากกว่าภูมิภาคอื่น มาจาก 3 ปัจจัย คือ
ทั้งนี้ หากนักลงทุนต้องการโฟกัสการลงทุนไปยังรายประเทศ ธนาคารทิสโก้มองว่า ตลาดหุ้นจีน คือดาวเด่นของการลงทุนในช่วงนี้ เนื่องจากมองว่าราคาน่าจะลงมาใกล้จุดต่ำสุด เพราะรับรู้ประเด็นลบจากปัจจัยกดดันทั้งจากปัจจัยลบทั้งภายในและภายนอกประเทศไปหมดแล้ว
อีกทั้งเริ่มเห็นสัญญาณการผ่อนคลายนโยบายจากทางการจีนมากขึ้น เช่น การคลาย Lockdown เมืองเซี่ยงไฮ้ที่ปลดล็อกอย่างเต็มรูปแบบ และการผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านการกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศและผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อทำให้เศรษฐกิจจีนโตในระดับ 5.5% ในปี 2565
นอกจากนี้ ธนาคารทิสโก้จึงมองว่า ในช่วงนี้เป็นจังหวะที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้น ‘เมกะเทรนด์ของจีน’ ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นในระยะยาว หลังจากราคาหุ้นกลุ่มนี้ย้อนหลัง 1 ปี ปรับตัวลงมาราว 40% และยังคงเป็นกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนเชิงนโยบายจากทางภาครัฐจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 14 ซึ่งบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2564 - 2568 โดยมี 4 ธีมเมกะเทรนด์ของหุ้นจีนที่น่าสนใจในการลงทุนระยะยาว ดังนี้
คาดการณ์ว่ารายได้ภาคครัวเรือนของคนจีนจะเพิ่มขึ้นอีกสองเท่าตัวภายในปี 2573 จากระดับปัจจุบันที่ 6,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นไปเป็น 12,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้กำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นจะช่วยหนุนให้รายได้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคสินค้าในจีนสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
ในอนาคตรัฐบาลจีนยังคงวางเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี 5.0 ทั้ง 5G, AI, Internet of Things, Semiconductors และ Smart Cities ซึ่งส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของจีนยังมีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว
รัฐบาลจีนยังได้มีแผนการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรม Healthcare ผ่าน ‘Healthy China 2030 Plan’ ด้วยการพัฒนาคุณภาพยาร่วมกับต่างชาติ เพิ่มความคล่องตัวในการอนุมัติยาตัวใหม่ เพิ่มงบประมาณในด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ในอุตสาหกรรม Healthcare โดยในช่วง 3 ปีข้างหน้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยถึง 17.7% ต่อปี สูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั่วโลกที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียงแค่ราว 4.5% ต่อปี
ปัจจุบันจีนถือเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกและสามารถทำยอดขายรถยนต์ EVs ได้สูงถึง 1.24 ล้านคันในปี 2564 ที่ผ่านมา โดยคาดการณ์ว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในจีนจะยังสามารถเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องสู่ระดับ 12 ล้านคันได้ภายในปี 2573 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยทบต้นที่สูงถึง 25% ต่อปี สะท้อนให้เห็นว่า อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของจีนยังเติบโตได้อีกไกล