นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์จำกัด (SCBS) ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังปี 2565 โดยภาพรวมคาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตได้ประมาณ 3.4% จากอานิสงส์การเปิดประเทศแม้ว่าการบริโภคในประเทศอาจจะมีความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่สูงต่อเนื่องและอัตราดอกเบี้ย ที่มีโอกาสปรับตัวขึ้นในกรณีเลวร้าย (World Case) คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 2.9%
ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งปีหลังคาดว่ายังไม่สดใส โดยได้รับผลกระทบจากSentimentด้านลบของตลาดหุ้นสหรัฐและจีนอย่างไรก็ตามยังประเมินตลาดหุ้นไทยแข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นอื่นเนื่องจากแนวโน้มกำไรของบริษัทจดทะเบียนในภาพรวมอย่างมีการเติบโตได้จากอานิสงส์ของการเปิดประเทศ ส่วนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบด้านลบจากเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยนั้นมีสัดส่วนในตลาดไม่มาก
สำหรับปัจจัยพื้นฐานของ SET ในปี 2565 - 2566 ยังคงดีโดยคาดว่า Earning Pear Share; EPS เติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 10% ต่อปีกลุ่มที่ EPS ฟื้นตัวไปที่ระดับก่อนโควิดได้แก่กลุ่มธนาคาร กลุ่มพลังงาน กลุ่มปิโตรเคมี กลุ่มพาณิชย์และกลุ่มท่องเที่ยว เป็นต้น ขณะเดียวกัน SCBS ได้ประเมินกรอบการเคลื่อนไหว SET Indexในระดับคงเดิมที่ 1,500-1,750 จุด และเป้าหมายของ SET Index ทั้งปีนี้อยู่ที่ 1,650 จุด โดยมองว่า SET Index จะไม่ลดลงแรงเหมือนช่วงโควิดเนื่องจากผลกระทบต่อกำไรไม่แรงเท่าช่วงที่ผ่านมา
ส่วนปัจจัยเสี่ยงต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนในครึ่งปีหลังของปีนี้ ได้แก่
1. ต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบโดยจะกระทบกลุ่มขนส่งและวัสดุก่อสร้าง
2. การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) อาจกระทบกลุ่มท่องเที่ยว อาหารพาณิชย์และโรงไฟฟ้า อย่างไรก็ตามคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะผ่านจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้เนื่องจากผ่านช่วงที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงจีนเริ่มคุมสถานการณ์โควิดในประเทศได้แนวโน้มผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนชัดเจนตลาดได้รับอานิสงส์จากการเปิดประเทศ และเงินเฟ้อมีแนวโน้มทรงตัว
ส่วนความเสี่ยงอื่นๆที่ต้องติดตามได้แก่ การเคลื่อนย้ายของเงินทุนต่างชาติ การเปิดประเทศของจีนที่ล่าช้าและสงครามระหว่างรัสเซียยูเครน
"เราใช้วิธีการประเมินมูลค่าหุ้นตามพื้นฐานและการเติบโตของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมโดยประเมินราคาเป้าหมายของ Set index อยู่ที่ 1,650 จุดจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในปัจจุบันโดยกลุ่มที่มองว่ามี Up Size เมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานได้แก่กลุ่มธนาคาร กลุ่มสื่อสาร กลุ่มอาหาร ส่วนกลุ่มที่มี DownSide ได้แก่ กลุ่มขนส่งการแพทย์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อสังหาริมทรัพย์ และท่องเที่ยว โดยเราใช้ Bear Case Valuation เป็นจุดเข้าซื้อ ที่สำคัญโดยให้ Margin of Safety ที่ 5% จากระดับปัจจุบันหรือต่ำกว่า 1,600 จุด"