ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 31,761.54 จุด ร่วงลง 228.50 จุด หรือ -0.71%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,921.05 จุด ลดลง 45.79 จุด หรือ -1.15% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,562.57 จุด ร่วงลง 220.09 จุด หรือ -1.87%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลง หลังจากบริษัทวอลมาร์ทคาดการณ์ว่า กำไรต่อหุ้นในไตรมาส 2 จะลดลงราว 8%-9% และกำไรต่อหุ้นในปีงบการเงิน 2565 จะลดลงราว 11%-13% จากเดิมที่คาดว่ากำไรต่อหุ้นในไตรมาส 2 จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และกำไรต่อหุ้นในปี 2565 จะลดลงเพียง 1% โดยวอลมาร์ทระบุว่า ภาวะเงินเฟ้อกำลังส่งผลให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่ายสินค้าจำพวกเสื้อผ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้า และหันไปใช้จ่ายเฉพาะสินค้าที่จำเป็น เช่น อาหาร
การปรับลดคาดการณ์ผลกำไรของวอลมาร์ทซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐและได้รับการพิจารณาว่าเป็นบริษัทที่สามารถสะท้อนภาพรวมของเศรษฐกิจสหรัฐนั้น ได้ฉุดราคาหุ้นกลุ่มค้าปลีกร่วงลงด้วย โดยหุ้นวอลมาร์ท ดิ่งลง 7.64% หุ้นทาร์เก็ต ร่วงลง 3.64% หุ้นโลว์ส (Lowe's) ร่วงลง 3.2% หุ้นโฮมดีโปท์ ร่วงลง 2.6% หุ้นแอมะซอน ดิ่งลง 5.23%
หุ้นสปอติฟาย เทคโนโลยี ร่วงลง 5.86% หลังบริษัทประกาศลดการจ้างงานประมาณ 10% ของจำนวนการจ้างงานทั่วโลก เนื่องจากการใช้จ่ายด้านออนไลน์ชะลอตัวลง โดยบริษัทจะรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ในวันพุธที่ 27 ก.ค.
หุ้นเจเนอรัล มอเตอร์ (GM) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ร่วงลง 3.53% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 2 ที่ระดับ 1.14 ดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.20 ดอลลาร์ โดยได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนอะไหล่ ซึ่งทำให้บริษัทไม่สามารถส่งมอบรถยนต์เกือบ 100,000 คัน
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังถูกกดดันจากรายงานผลสำรวจของผลสำรวจของ Conference Board ซึ่งระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐร่วงลง 2.7 จุด สู่ระดับ 95.7 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน เนื่องจากผู้บริโภคมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อและเศรษฐกิจสหรัฐที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 3.2% ในปี 2565 ก่อนที่จะชะลอตัวสู่ 2.9% ในปี 2566 โดยปรับลดลง 0.4% และ 0.7% ตามลำดับจากตัวเลขคาดการณ์ในเดือนเม.ย. อันเนื่องมาจากความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่รุนแรงกว่าคาด รวมทั้งผลกระทบจากการที่รัสเซียส่งกำลังทหารบุกโจมตียูเครน
ทั้งนี้นักลงทุนจับตาผลการประชุมเฟดในวันพุธที่ 27 ก.ค.ตามเวลาสหรัฐ หรือในช่วงเช้าตรู่ของวันพฤหัสบดีที่ 28 ก.ค.ตามเวลาไทย โดยกระแสคาดการณ์ส่วนใหญ่เชื่อว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมครั้งนี้
รวมทั้งนักลงทุนรอดูการเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2 ของสหรัฐในวันพฤหัสบดีนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของสำนักข่าวดาวโจนส์คาดการณ์ว่าตัวเลข GDP สหรัฐมีแนวโน้มขยายตัว 1% ในไตรมาส 2