ครึ่งแรกปี 2565ธุรกิจประกันชีวิต มีเบี้ยประกันภัยรับรวมแตะ 289,097 ล้านบาท สะท้อนอัตราการเติบโตลดลง 1.94% จากช่วงเดียวกันปีก่อน สาเหตุจากที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ “ค่าครองชีพเพิ่มสูง-เงินเฟ้อ-ความเชื่อมั่นและกำลังซื้อลดและความผันผวนตลาดเงินตลาดทุนฉุดประกันยูนิตลิงค์โตแผ่วคาดทั้งปีเบี้ยประกันภัยรับโต 6.12– 6.29แสนล้านบาท
นายสาระ ล่ำซำ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตในช่วงครึ่งแรกปี 2565 (ระหว่าง มกราคม – มิถุนายน) มีอัตราของเบี้ยประกันรับรวม 289,097 ล้านบาท ลดลง 1.94% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมาจากการได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ
อาทิ อัตราค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นจากสถานการณ์เงินเฟ้อ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงและส่งผลต่อกำลังซื้อของประชาชน รวมถึงภาวะดอกเบี้ยที่มีความผันผวนและสถานการณ์เงินบาทอ่อนค่า ทำให้ประชาชนชะลอการลงทุน เห็นได้จากผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุนหรือยูนิตลิงก์ (Unit- Linked + Universal Life) มีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 19,825 ล้านบาท เติบโตลดลง 8.22%
ทั้งนี้เบี้ยประกันรับรวมที่ 2.89แสนล้านบาทนั้น แบ่งเป็นเบี้ยประกันรับรายใหม่ 79,685 ล้านบาท อัตราการเติบโตลดลง 4.75% และเบี้ยประกันภัยรับปีต่อไป 209,412 ล้านบาท อัตราการเติบโตลดลง 0.82% โดยมีอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ 82%
สำหรับเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ ประกอบด้วย
1. เบี้ยประกันภัยรับปีแรก 49,331 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 7.79%
2. เบี้ยประกันภัยจ่ายครั้งเดียว 30,354 ล้านบาท เติบโตลดลง 19.90%
สำหรับทิศทางธุรกิจประกันชีวิตในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 ยังมีปัจจัยที่ส่งเสริมให้ภาคธุรกิจประกันชีวิตมีอัตราการเติบโตเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้เมื่อต้นปี โดยคาดการณ์ว่าภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตปี 2565 จะมีเบี้ยประกันภัยรับรวมประมาณ 612,000 – 629,500 ล้านบาท อัตราการเติบโตระหว่าง 0 ถึง 2.5% และอัตราความคงอยู่ประมาณ 82 ถึง 83%
โดยหลักๆ มาจากปัจจัยบวกที่ช่วยกระตุ้นและส่งเสริมธุรกิจประกันชีวิตในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่คนใส่ใจและดูแลสุขภาพ และได้ตระหนักถึงความสำคัญของการทำประกันสุขภาพมากขึ้น รวมถึงผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบบำนาญ ที่ตอบโจทย์สังคมผู้สูงอายุของไทยในปัจจุบัน ทำให้ประชาชนเริ่มหันมาทำประกันชีวิตแบบบำนาญมากขึ้น ใ
นายกสมาคมประกันชีวิตไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า แนวโน้มสิ้นปี2565 คาดว่าจะมีเบี้ยรับรวมเติบโต 0 -2.5% เพราะตลาดได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ แต่ขณะเดียวกันครึ่งปีแรกเราเห็นการเติบโตของแบบประกันบางแบบ
เช่น ประกันสุขภาพที่เติบโต 9.15% และประกันชีวิตแบบบำนาญเติบโตเพิ่มขึ้น 7%สอดคล้องกับที่บริษัทประกันชีวิตให้ความสำคัญกับการพัฒนาแบบประกันดังกล่าวเพื่อรองรับสังคมผู้สูงวัยที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความตั้งใจอยากให้มีแบบประกันบำนาญที่สามารถตอบโจทย์คนไทยมากขึ้น โดยเฉพาะภายหลังเกษียณอายุแล้วสามารถดำรงชีพได้ ส่วนหนึ่งมาจากบำนาญจากประกันชีวิต ขณะเดียวกันอยากเห็นแบบประกันบำนาญที่เฉลี่ยจ่ายได้ตามแต่ละช่วงของชีวิตในหลายปี เพื่อให้สอดคล้องกับการมีอายุที่ยืนยาวขึ้นด้วย
นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างศึกษาแบบประกันบำนาญที่จะตอบโจทย์ระบบนิเวศหรือ ecosystem เช่น เนิร์สซิ่งโฮม รวมถึงความคุ้มครองสุขภาพ โดยบางบริษัทอยู่ระหว่างยื่นขอสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.)
ปัจจุบันพอร์ตเบี้ยรับของธุรกิจประกันชีวิตนั้น ยังคงเป็นเบี้ยรับสำหรับประกันชีวิตอยู่ ทั้งแบบประกันสะสมทรัพย์ แบบประกันตลอดชีพ หรือแบบประกันยูนิตลิงก์ แต่แนวโน้มพอร์ตประกันสุขภาพสิ้นปีมีโอกาสแตะ 1แสนล้านบาทจากที่มีอยู่กว่า 5หมื่นล้านบาท
ส่วนแบบประกันชีวิตแบบบำนาญเบี้ยรับมีอยู่ที่จำนวน 4,500ล้านบาท แนวโน้มคาดว่าการพัฒนาแบบบำนาญค่อยๆทยอยสะสม และการซื้อแบบจ่ายเบี้ยครั้งเดียวซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นเบี้ยบำนาญแตะ 10,000ล้านบาท
ต่อข้อถามเรื่องโรคฝีดาษนั้น โดยหลักของประกันชีวิตส่วนใหญ่ กรณีซื้อความคุ้มครองสุขภาพจะได้รับความคุ้มครองโดยไม่มีข้อจำกัด
อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ธุรกิจประกันชีวิตยังต้องเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ อาทิ สงครามการค้าระหว่างประเทศ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ การเกิดใหม่ของสงครามเทคโนโลยี (Cyber War)
ตลอดจนการบังคับใช้กฎหมายใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) พ.ศ. 2562 และสัญญาการประกันภัยสุขภาพแบบมาตรฐานใหม่ (New Health Standard) ส่งผลให้แต่ละบริษัทประกันชีวิตต้องพัฒนาแบบประกันและการบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น