หลักสูตร WOW เปิดขุมทรัพย์ความมั่งคั่งนำนักศึกษาลุย K+

16 ก.ย. 2565 | 01:08 น.
อัปเดตล่าสุด :20 ก.ย. 2565 | 12:21 น.

กรุงเทพธุรกิจ-ฐานเศรษฐกิจ รุกหนักหลักสูตร WOW: Wealth Of Wisdom เปิดขุมทรัพย์แห่งความมั่งคั่ง “กสิกรไพรเวทแบงกิ้ง” ชู 5 ธีมบริหารพอร์ตลงทุนหุ้นนอกตลาด-Beacon VC เปิดทางเลือกการลงทุน

เมื่อวันที่ 15 ก.ย. 2565 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ รุกหนักหลักสูตร WOW: Wealth Of Wisdom นำนักศึกษาลุย K+ เปิดขุมทรัพย์แห่งความมั่งคั่ง จับมือกสิกรไทย “KBANK Private Banking -Beacon VC เพิ่มทางเลือกการลงทุน

หลักสูตร WOW เปิดขุมทรัพย์ความมั่งคั่งนำนักศึกษาลุย K+

นักธุรกิจแถวหน้า ร่วมหลักสูตร Wealth Of Wisdom:WOW ลุยตึกK+เปิดขุมทรัพย์แห่งความมั่งคั่ง โดย “จิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์” ไพรเวท แบงกิ้ง กรุ๊ป เฮด (Private Banking Group Head) ธนาคารกสิกรไทย ระบุว่าท่ามกลางสภาวะตลาดอยู่ในทิศทางขาลง หรือเป็นทิศทางside way  กลยุทธ์การลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนต้องกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์ทางเลือก 5ทางเลือกนอกจากการลงทุนในหุ้น  และตราสารหนี้

ทั้งนี้ 5กลยุทธ์ที่จะนำเสนอ ประกอบด้วย

1.    การลงทุนในกองทุนที่มีกลยุทธ์ทำกำไรในช่วงที่ตลาดขาขึ้นและตลาดขาลงได้ “เฮดจ์ฟันด์ หรือ Hedge Fund (ASP-LAGACY-UI) ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยตลอด 17 ปี อยู่ที่ 8.75% ต่อปี ที่สำคัญมีความเสี่ยงที่วัดจากค่าความผันผวนเพียง 11% แต่ข้อเสียหลังจากขายออกแล้วกว่าจะได้รับเงินต้องใช้เวลาราว 3 เดือน


2.    หุ้นนอกตลาด (Private Equity) (K-GPE22B-UI) เป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อลงทุนในบริษัทนอกตลาดทั่วโลก กำหนดลงทุนขั้นต่ำเพียง 1 ล้านบาท กำลังจะเสนอขายวินเทจที่ 3 โดยครอบคลุมกลยุทธ์การลงทุนที่หลากหลายในแต่ละช่วงการเติบโตของบริษัท และกระจายลงทุนกว่า 60 ธุรกิจ โดยตามปกติกองทุนลักษณะนี้ต้องถือยาว 12 ปี เพื่อผลตอบแทนประมาณ 20% แต่กองทุน K-GPE22B-UI ถือครองเพียง 7 ปี เพื่อผลตอบแทน 13-15%

 

 

 

3. Global Private Real Estate (UGREF-UI) กับโอกาสรับผลตอบแทนจากตึกนอกตลาดกว่า 9000 แห่งทั่วโลก กระจายอยู่ในสหรัฐฯ 45% ยุโรป ญี่ปุ่น แคนาดา เนเธอร์แลนด์ เอเชีย-แปซิฟิก โดยตลอด 15 ปีตั้งแต่จัดตั้งกองทุน มีเพียงปีเดียวที่กองทุนติดลบโดยมีสาเหตุมากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์
 

4. Thai Private Real Estate (ALLYKEX  Private Equity Trust)โดยเริ่มต้นกองแรกมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท จำนวน 48 ตึก ซึ่งเจ้าของขาดสภาพคล่องบางส่วน จึงเป็นโอกาสลงทุนในช่วงโควิดระยะเวลาลงทุน 3-5 ปี อัตราผลตอบแทน จึงเป็นโอกาสลงทุนในช่วงโควิดระยะเวลาลงทุน 3-5 ปี อัตราผลตอบแทนภายใน( IRR) เฉลี่ย  11-14% จึงเป็นโอกาสลงทุนในช่วงโควิดระยะเวลาลงทุน 3-5ปี อัตราผลตอบแทนภายใน( IRR) เฉลี่ย  11-14%  และ

 

5.หุ้นกู้อนุพันธ์ หรือ Structured Note  (KIKO) โดยมีผลตอบแทน 14-15%ต่อปี บนเงื่อนไขว่าจะลิ้งกับหุ้นบางตัว  เหล่านี้สะท้อนพัฒนาทางเลือกการลงทุน

หลักสูตร WOW เปิดขุมทรัพย์ความมั่งคั่งนำนักศึกษาลุย K+

“ธนพงษ์ ณ ระนอง” กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด (บีคอน วีซี) กล่าวในหัวข้อ “ทางเลือกนักลงทุน “โดยระบุว่า การลงทุนในไพรเวทมาร์เก็ต  ส่วนใหญ่เป็นเรียลเอสเตทที่เข้าถึงง่าย  แต่ปัจจุบัน  Private Equityเป็นที่นิยมมากขึ้น ซึ่งเวนเจอร์แคปปิทัลก็เป็นส่วนหนึ่งของไพรเวทอีควิตี้....แต่ Private Market เติบโตมาตลอด  หลังจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ เห็นได้จากอัตราการเติบโต 26%  โดยเฉพาะปี 2564 ที่เติบโตอย่างมาก  เพราะฟันด์โฟล์และสภาพคล่องวิ่งเข้ามาไพรเวทมาเก็ต ซึ่งเป็นการลงทุนของกลุ่มไฮเน็ตเวิร์ก และกลุ่มสถาบันเท่านั้น 

สำหรับผลตอบแทนนั้น “เวนเจอร์แคปิทัล”ยังมีผลตอบแทนเป็นตัวท๊อปโดยมากกว่า 20% หรือสูงสุด 48%  ที่สำคัญ ช่วงโควิด จะเห็นว่าตลาดถูกกระทบแต่ทุกบริษัทเติบโตได้หมด  โดยแนะนำลงทุนไพรเวทมาร์เก็ตในสัดส่วน 20% ที่เหลือเลือกลงทุนในหุ้นหรือบอนด์เช่นเดิม

 

“ปี 2564 นับเป็นปีทองของเวนเจอร์แคปิทัลทั่วโลก  แม้เผชิญโควิด ดิจิทัลแพลตฟอร์มบูมมากและหลายบริษัทที่ทำดิจิทัลแพลตฟอร์มได้รับผลตอบแทนที่ดี  สำหรับปี2565  ทุกตลาดได้รับผลกระทบหมด  และเวนเจอร์แคปยอดการลงทุนร่วงลงเช่นสินทรัพย์ลงทุนประเภทอื่น   แต่ขนาดยอดลงทุนปรับลดในครึ่งแรกปีนี้ก็ยังสูงกว่าปีก่อนๆ ตั้งแต่ปี 2561โดยคาดว่าช่วงที่เหลือเวนเจอร์แคปิทัลยังได้รับความสนใจลงทุนต่อเนื่องในไตรมาส 3 และ4

 

สำหรับBeacon VC (บีคอน วีซี) เป็นจังหวะที่ดี เพราะในช่วงขาลง หลายคนชะลอการลงทุน แต่บีคอนวีซีสามารถต่อรองราคาและ “ช้อป” ของดีได้ ในการเข้าไปลงทุนบริษัทสตาร์ตอัพ  

 

โดยเฉพาะการลงทุนใน ภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้  เป็นทำเลเหมาะสมในการลงทุนในเวนเจอร์แคปิทัล  เพราะมีตลาดใหญ่อย่างอินโดนีเซีย ที่มีเม็กเงินเข้าไปลงทุนค่อนข้างมากในบริษัทที่เติบโตใน Emerging Market   เห็นได้จากปี 2564 ที่ผ่านมา  เม็ดเงินเข้าไปลงทุนในสตาร์ตอัพสูงถึง 25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตขึ้น 2.7 เท่า

 

และภายในปีเดียวมียูนิคอร์นเกิดขึ้นปีเดียวถึง 25 บริษัท ซึ่งสูงกว่าทุกปี ทำให้ผู้ที่เข้าไปลงทุนได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นหลายเท่า  ขณะที่ยูนิคอร์นทั่วโลก ปัจจุบันมีกว่า 1,000 บริษัท  จึงมีโอกาสอีกมากสำหรับSouth East Asia   โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 หลายบริษัทสตาร์ตอัพสามารถเติบโตได้ดี จากการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ และมีความคล่องตัวซึ่งต่างจากบริษัทขนาดใหญ่ที่ปรับตัวไม่ทัน    

      “เซาท์อีสเอเซีย เป็น area ที่น่าสนใจลงทุน แต่ต้องอาศัยกลยุทธ์ และเลือกการลงทุนที่เหมาะสม เช่น กลยุทธ์การลงทุนของ บีคอน วีซี ที่ผ่านมา เลือกลงทุนเฉพาะบริษัทที่สามารถสร้างรายได้แล้ว  และเลือกเซ็กเตอร์ที่เติบโต และที่สำคัญต้องเข้ามาช่วยซัพพอร์ตอีโคซิสเต็มสตาร์ตอัพโดยรวมให้เติบโตมากขึ้น”

 

     “ธนพงษ์” กล่าวเพิ่มเติมว่า  บีคอน วีซี ปัจจุบันได้รับเงินลงทุนจาก กสิกรไทย 180 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีดีลที่คุยไปแล้วและอยู่ระหว่างพูดคุยมากกว่า 1,000 ดีล โดยมีการเข้าไปลงทุนใน 18 ดีล และมีการเข้าไปลงทุนในวีซีอื่นๆ ในต่างประเทศ

    

ที่สำคัญ ที่ผ่านมา บีคอนวีซีเข้าไปลงทุนแล้วสามารถขายพอร์ตการลงทุน(Exit) ได้ 4 ดีล ซึ่งไม่มีวีซีที่สามารถออกได้มากเท่านี้ โดยเฉพาะการเข้าไปลงทุนใน 3 บริษัท Flow Account, Nium และ Aspire ซึ่งเบื้องต้น มูลค่าลงทุนจะเพิ่มขึ้นราว 6 เท่า จากที่ลงทุนไว้ ส่งผลให้ทั้งพอร์ต การลงทุนเติบโตขึ้น 37%

 

อย่างไรก็ตาม  การลงทุนในกองแรกนั้น ได้ผลตอบแทนสูงถึง 47%  กองที่สอง 29.9%  คาดว่าภายใน 10ปีจะเห็นผลตอบแทนเฉลี่ยเกิน 30% ทั้งนี้ เมื่อเทียบการสร้างรีเทิร์นระดับโลก บีคอนวีซี ติดอันดับ 10 ( TOP10) ที่สร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้สูง