ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 38.15 บาทต่อดอลลาร์

12 ต.ค. 2565 | 00:50 น.
อัปเดตล่าสุด :12 ต.ค. 2565 | 08:53 น.

เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าทดสอบแนวต้าน 38.30 บาทต่อดอลลาร์ กรณีที่ เงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI สหรัฐฯจะออกมาสูงกว่าตลาดคาดในวันพรุ่งนี้ จับตาราคาทองคำ -ช่วงเช้าวันนี้ เงินเยนร่วงแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 24 ปีครั้งใหม่ ซึ่งทำให้ตลาดเพิ่มโอกาสความเป็นไปได้ที่จะเห็นทางการญี่ปุ่นเข้าดูแลตลาดในระหว่างวัน 

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 38.15 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 38.10 บาทต่อดอลลาร์

 

นายพูน  พานิชพิบูลย์   นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทมีแนวโน้มผันผวนในฝั่งอ่อนค่าได้ หากตลาดยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ซึ่งยังเป็นปัจจัยที่หนุนให้ผู้เล่นในตลาดต่างเลือกที่จะถือเงินดอลลาร์

 

นอกจากนี้ เรามองว่า มีโอกาสที่เงินบาทอาจอ่อนค่าทดสอบแนวต้าน 38.30 บาทต่อดอลลาร์ โดยเฉพาะในกรณีที่ เงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI สหรัฐฯ ที่จะรายงานในวันพรุ่งนี้ ออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาด (สูงกว่า +6.5%y/y และ สูงกว่า +0.5%m/m)

ทั้งนี้ ควรจับตาทิศทางราคาทองคำ โดยหากราคาทองคำไม่ได้ปรับตัวลงแรง สามารถทรงตัวเหนือแนวรับ 1,670 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และรีบาวด์ขึ้นได้ เรามองว่า เงินบาทก็อาจจะไม่ได้อ่อนค่าไปมาก อย่างไรก็ดี หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 38.30 ก็มีโอกาสที่จะเห็นเงินบาทอ่อนค่าต่อไปทดสอบ 38.50-38.75 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดที่มีสถานะ short เงินบาทอยู่นั้น อาจเริ่มทยอยขายทำกำไรหรือลดสถานะ short ลงบ้าง

 

นอกจากนี้ ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่ยังคงเป็นฝั่งขายสุทธิสินทรัพย์ไทย ยังคงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กดดันให้เงินบาทผันผวนในฝั่งอ่อนค่า ซึ่งเรามองว่า แรงขายหุ้นไทยอาจเริ่มชะลอลงได้บ้าง แต่แรงขายบอนด์ไทย อาจยังมีต่อได้ จนกว่าที่บอนด์ยีลด์ระยะยาว อาทิ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะเริ่มแกว่งตัว sideways หรือ ย่อตัวลงได้บ้าง ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ หากตลาดเริ่มคลายกังวลแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด หรือ ตลาดกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจถดถอยมากขึ้น

ทั้งนี้ ในช่วงที่ตลาดการเงินผันผวนสูงจากความไม่แน่นอนของหลายปัจจัย เราคงแนะนำให้ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Options ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก

 

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 38.00-38.30 บาท/ดอลลาร์

 

ความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงหนักและเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีหน้า เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่กดดันบรรยากาศในตลาดการเงิน หลังจากที่ IMF ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจโลกในปีหน้าเหลือ 2.7% และปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ลงสู่ระดับ 1.0% ในปีหน้า

 

แนวโน้มการชะลอตัวลงหนักของเศรษฐกิจส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดกังวลว่า ผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มแย่ลงตามเช่นกัน นอกจากนี้ ตลาดยังคงถูกกดดันจากแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟดที่ได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเข้าใกล้ระดับ 4.00% อีกครั้ง ทำให้ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะเดินหน้าขายหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ที่อ่อนไหวกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ (Tesla -2.9%, Microsoft -1.7%) และส่งผลให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลง -1.1% ส่วนดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ ปิดตลาด -0.65%

 

ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง -0.56% ท่ามกลางปัจจัยลบหลายด้านที่กดดันตลาด อาทิ ความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวลงหนักจนอาจกระทบแนวโน้มผลกำไรของบริษัทจดทะเบียน หลัง IMF ปรับลดคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจยูโรโซนในปีหน้าเหลือ 0.5%

 

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังคงถูกกดดันจากสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ร้อนแรงขึ้น รวมถึงสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในจีนที่รุนแรงขึ้น จนอาจกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน อย่างไรก็ดี ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาด หุ้นสไตล์ Defensive อย่าง หุ้นกลุ่ม Healthcare ยังสามารถปรับตัวขึ้น ช่วยพยุงตลาดหุ้นยุโรปได้บ้าง อาทิ Sanofi +2.2%, Roche +1.0%

 

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ แนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟดได้ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พุ่งขึ้นแตะระดับ 4.00% อีกครั้ง ก่อนที่จะย่อตัวลง บอนด์ยีลด์ในฝั่งยุโรป ตามความหวังการขยายเวลามาตรการซื้อบอนด์ระยะยาวอังกฤษโดยธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ซึ่งภายหลัง BOE ได้ออกมาปฏิเสธการขยายเวลา (มาตรการดังกล่าวจะจบลงในวันที่ 14 ตุลาคมนี้) ทำให้บอนด์ยีลด์ระยะยาวทั้งในฝั่งยุโรปและสหรัฐฯ กลับมาปรับตัวขึ้นอีกครั้ง

 

โดยบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 3.95% ซึ่งเรามองว่า ในระยะสั้น บอนด์ยีลด์ระยะยาวยังมีแนวโน้มแกว่งตัว sideways หรืออาจปรับตัวขึ้นต่อได้บ้าง ทว่า ระดับบอนด์ยีลด์ระยะยาว ณ ปัจจุบัน สูงขึ้นมาพอสมควรและเริ่มน่าสนใจมากขึ้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจรอจังหวะทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว เพื่อเตรียมพอร์ตให้พร้อมรับมือกับแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจ

 

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวนเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ยังคงทรงตัวใกล้ระดับ 113.3 จุด หนุนโดยความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในจังหวะที่ตลาดการเงินปิดรับความเสี่ยง นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดยังไม่รีบปรับสถานะถือครอง จนกว่าจะรับรู้รายงานเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ

 

ทั้งนี้ แม้ว่าตลาดจะอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง แต่ทิศทางของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่ยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อ คือ ปัจจัยที่กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ยังคงแกว่งตัวใกล้โซนแนวรับแถว 1,670 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งหากบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่มีการปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการในอนาคต หรือ ผู้บริหารต่างแสดงความกังวลแนวโน้มผลประกอบการมากขึ้น ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดยิ่งกังวลผลกระทบการชะลอตัวของเศรษฐกิจต่อแนวโน้มผลกำไร กดดันให้ตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงต่อเนื่องได้

 

ส่วนในฝั่งเอเชีย  ตลาดคาดว่า ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) จะเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% สู่ระดับ 3.50% เพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ (ล่าสุดยังสูงกว่า 5.6%) และลดแรงกดดันต่อค่าเงิน KRW รวมถึงฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่ไหลออกต่อเนื่อง

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 38.15-38.17 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.50 น.) ใกล้เคียงระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 38.17 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทน่าจะยังเคลื่อนไหวในกรอบอ่อนค่าตามทิศทางสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย (นำโดย เงินเยน และเงินหยวน)

 

ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ หลัง IMF ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกปีหน้าลงมาที่ 2.7% จากคาดการณ์เดิมที่ 2.9% โดยในช่วงเช้าวันนี้ เงินเยนร่วงแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 24 ปีครั้งใหม่ ซึ่งทำให้ตลาดเพิ่มโอกาสความเป็นไปได้ที่จะเห็นทางการญี่ปุ่นเข้าดูแลตลาดในระหว่างวัน 

 

ส่วนเงินดอลลาร์ฯ ยังแข็งค่าขึ้นต่อตามการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ โดยบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ระยะ 10 ปีขยับขึ้นแตะระดับ 4.00% อีกครั้งเมื่อคืนที่ผ่านมา ขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดยังคงส่งสัญญาณว่า เฟดจะต้องคุมเข้มต่อเนื่องเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ซึ่งจากท่าทีดังกล่าวยิ่งทำให้ข้อมูล CPI ของสหรัฐฯ ที่จะรายงานในวันพฤหัสบดีเป็น highlight สำคัญที่ตลาดรอติดตามอย่างใกล้ชิด

 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 37.95-38.25 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามจะอยู่ที่ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ค่าเงินเอเชีย รายงานการประชุมเฟด และตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิตของสหรัฐฯ