นายอุฬาร จิ๋วเจริญ รองเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) กล่าวปาฐกถาพิเศษ “สคบ.คุมสัญญาเช่าซื้อทางออกแก้หนี้ภาคประชาชน หรือ ผลักผู้บริโภคสู่หนี้ออกระบบ” โดยหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจมัลติมีเดีย จัดสัมมนา THE BIG ISSUE 2022 คุมสัญญาเช่าซื้อ ลีสซิ่งสะเทือน โดยระบุว่า
ที่ผ่านมาเมื่อปี 2522 บทบาทสคบ.ต้องดูแลควบคุมการละเมิดสิทธิ ขณะเดียวกันจะมีคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาเข้ามาดูหรือต้องควบคุมสัญญาเพื่อเกิดความเป็นธรรม เปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจเปลี่ยนธุรกิจได้บนพื้นฐาน คณะกรรมการว่าด้วยสัญญามาควบคุมให้ธุรกิจให้เช่าซื้อเป็นธุระกิจควบคุมสัญญา เพราะถ้าไม่มีกฎหมายย่อมไม่มีอำนาจ และการออกกฎหมายต้องรอบครอบ
โดยเฉพาะประกาศฉบับใหม่ปี2565 ต้องอาศัยมาตรา35 ทวิ แห่ง พระราชบัญญัติ(พรบ.) พ.ศ.2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ประกอบกับมาตรา 4 มาตรา 5 กฤษฏีกาปี2542 ซึ่งการออกประกาศเช่าซื้อ3ฉบับ
สำหรับประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่องให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์ และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญาพ.ศ.2561 ไฮไลต์คือ กำหนดให้แสดงภาระหนี้แนบท้ายสัญญา การคิดดอกเบี้ยเช่าซื้อแบบคงที่หรือFlat Rate และต้องเทียบให้เห็นอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงหรือแบบลดต้นลดดอก(Effective Rate)เพื่อสะท้อนแต่ละงวดมีการคิดดอกเบี้ยและเงินต้นเท่าไร
ส่วนการให้ส่วนลดกรณีปิดหนี้ทั้งหมด จะได้รับส่วนลด 50%ของดอกเบี้ยที่ยังไม่ครบกำหนด เมื่อเกิดโควิดภารกิจแก้หนี้ภาคประชาชนรัฐบาลมอบให้สคบ.ได้มาดูสัญญาเช่าซื้อมีสิ่งใดจะแก้ไขเพื่อช่วยภาคประชาชนได้รับผลกระทบโควิดสามารถบรรเทาความเดือดร้อน ลดความเหลื่อมล้ำและเป็นธรรม โดยรับมอบนโยบาย(จากรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ท่านอนุชา นาคาศัย)
ส่วนเรื่องเช่าซื้อ การกู้ยืมเงิน หรือจำนอง ขายฝาก รวมถึงการเช่าซื้อถ้าไม่ใช่ธนาคารในกำกับของธปท.สามารถที่จะคิดดอกเบี้ยอย่างเสรีตามกลไกของตลาด เมื่อพิจารณายอดผู้ยืมเงินจากธนาคารพาณิชย์ ไตรมาส1 ปี2565 ยอดกู้เงินผ่านธนาคารพาณิชย์ 6.27ล้านล้านบาท และยอดกู้เงินสินเชื่อส่วนบุคคล 1.62ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 0.55% (ตัวเลขจากธปท.)
ขณะเดียวกัน ธปท.ระบุถึงหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 88-89%ต่อจีดีพี สะท้อนว่าสูงเกินไป ซึ่งธปท.เห็นว่าไม่ควรเกิน 80%ต่อจีดีพีโดยธปท.พยายามจะรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินของประเทศ แต่ยังมีช่องว่างสำหรับผู้ที่ไม่อยู่ภายใต้กำกับของธปท.หรือผู้ประกอบธุรกิจการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงินหรือนันแบงก์โดยยังไม่หน่วยงานกำกับซึ่งจำเป็นที่คณะกรรมการว่าด้วยสัญญาจะมากำหนดรูปแบบสัญญาเช่าซื้อโดยเฉพาะสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ที่ผู้บริโภคซื้อเพื่อส่วนตัวเท่านั้น ไม่ใช่เช่าซื้อเพื่อประกอบธุรกิจ
ที่ผ่านมาแต่ละปีคนไทยซื้อรถจักรยานยนต์ประมาณ 1.8ล้านคันวงเงินสินเชื่อต่อปีประมาณ 60,000-80,000ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยที่คิดนั้น จากการศึกษาของธปท.ร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) และข้อมูลจากสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย สมาคมเช่าซื้อรถจักรยายนต์ จากการสำรวจของคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคจังหวัด ซึ่งสคบ.ขอความร่วมมือพบว่า บางแห่งผู้บริโภคต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงถึง 40-50%
ทั้งนี้ สคบ.ศึกษาสัญญากับธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ศาลยุติธรรม ชมรมคุ้มครองผู้บริโภค ตัวแทนภาคประชาชน ภาคธุรกิจทั้งภาคการเงิน ซึ่งใช้เวลาศึกษา 2ปี จากนั้นส่งผลการศึกษาให้คณะอนุกรรมการว่าด้วยสัญญา
จากนั้น เลขาธิการสคบ.คนปัจจุบัน (นายธสรณ์อัฑฒ์ ธนิทธิพันธ์) ตั้งผมเป็นหัวหน้าคณะทำงานเพื่อศึกษาเพิ่มเติมจากคณะอนุศึกษามาแล้ว อัตราดอกเบี้ยในท้องตลาด โดยธปท.ควบคุมดอกเบี้ยของธนาคารในกำกับ อัตราดอกเบี้ยต่างๆไม่ว่าขาเข้าหรือขาออก ธปท.กำหนดนโยบาย
การกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่องให้ธุรกิจให้เช่าซื้อ รถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญาพ.ศ2565 มีการกำหนดอัตราดอกเบี้ย สำหรับรถยนต์ใหม่ไม่เกิน 10%ต่อปี รถยนต์ใช้แล้ว 15%ต่อปีและรถจักรยานยนต์ไม่เกิน 23%ต่อปีโดยคำนวณอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปี(Effective Rate)
“เมื่อการควบคุมเพดานดอกเบี้ย สคบ.ได้พูดคุยผู้แทนของผู้บริโภคจะผลักภาระผู้บริโภคสู่หนี้นอกระบบหรือไม่ ผู้บริโภคบอกว่าไม่ ,ถามกลับอีกว่า หากต้องเพิ่มเงินดาวน์เพื่อผุ้ประกอบการต้องบริหารความเสี่ยงเพิ่มขึ้นนั้นทางผู้บริโภคก็ยินดี และปรับตัวเก็บเงินก่อนซื้อรถ ผู้ประกอบการลดความเสี่ยงจะเสียเงินต้นหรือยึดรถขายทอดตลาด ไม่ต้องนคดีสู่ศาล หรือเรียกผู้ค้ำประกันและหนี้นอกระบบปัจจุบันถูกควบคุมทั้งอัตราดอกเบี้ยห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินกำหนดหรือกฎหมายห้ามทวงถามหนี้ล้วนเป็นความผิดทางอาญา จึงคิดว่าผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์และไม่ต้องอออกไปสู่หนี้นอกระบบ”