UOBลั่นขึ้นแท่นธนาคารรายย่อยและธุรกิจอาเซียนเป็นอันดับแรก

04 พ.ย. 2565 | 17:15 น.
อัพเดตล่าสุด :05 พ.ย. 2565 | 08:13 น.

ยูโอบีเผยแผน 3-5ปีข้างหน้าฐานลูกค้าแตะ 10ล้านราย หลังซื้อกิจการธนาคารลูกค้ารายย่อยซิตี้กรุ๊ป4ประเทศอยู่ที่ 5.3ล้านราย -ลั่นขึ้นเป็นธนาคารที่ลูกค้ารายย่อยและลูกค้าธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนใช้บริการเป็นอันดับแรก

คืบหน้า “ยูโอบี”เข้าซื้อกิจการธนาคารลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ปโดยการขายธุรกิจธนาคารกลุ่มลูกค้าบุคคลรายย่อยของซิตี้แบงก์ ทั้งหมด 14 แห่งครอบคลุม4ประเทศประกอบด้วย  ไทย มาเลเซีย  เวียดนามและอินโดนีเซียคาด 12-18 เดือนโอนครบ 4 ประเทศ เผยแผน 3-5ปีข้างหน้าฐานลูกค้าแตะ 10ล้านรายจากปัจจุบันอยู่ที่ 5.3ล้านราย

UOBลั่นขึ้นแท่นธนาคารรายย่อยและธุรกิจอาเซียนเป็นอันดับแรก

นายตัน ชุน ฮิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า ภายหลังจากวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้อนุมัติการเข้าซื้อกิจการ ซึ่งยูโอบีได้ดำเนินการเข้าซื้อกิจการธนาคารลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ปในมาเลเซียและไทยอย่างเสร็จสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว(เมื่อวันที่ 1พ.ย.)  

“ยูโอบี”ยังคงให้ความสำคัญกับการโอนย้ายธุรกิจธนาคารลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ปให้เป็นไปอย่างราบรื่น โดยหวังว่าการโอนย้ายลูกค้าทั้งระบบจะแล้วเสร็จในอีก 12 ถึง 18 เดือนข้างหน้า

UOBลั่นขึ้นแท่นธนาคารรายย่อยและธุรกิจอาเซียนเป็นอันดับแรก

 นอกจากนี้ ยูโอบียังได้ประกาศแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง 4 ท่านเพื่อเป็นผู้นำธุรกิจธนาคารลูกค้ารายย่อยที่ขยายตัวขึ้นในมาเลเซียและไทย ได้แก่

·        Ms Elaine Fan, Head of Retail and Brand ธนาคารยูโอบี มาเลเซีย

·        Mr Ronnie Lim, Head of Personal Financial Services ธนาคารยูโอบี มาเลเซีย

·        คุณวีระอนงค์ จิระนคร ภู่ตระกูล Head of Retail and Brand ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย

·        คุณยุทธชัย เตยะราชกุล Head of Personal Financial Services ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย

 

สำหรับกิจการธนาคารลูกค้ารายย่อยดังกล่าว ประกอบด้วยกลุ่มลูกค้าสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันและมีหลักประกัน ธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง และธุรกิจเงินฝากรายย่อย ซึ่งจะส่งผลให้สัดส่วนรายย่อยของธนาคารเพิ่มขึ้นจาก 7% เป็น 21% และสินเชื่อที่อยู่อาศัยและรายใหญ่จะอยู่ที่ 40%

 

ขณะเดียวกัน จะส่งผลให้รายได้จากรายย่อยเพิ่มจาก 54% เพิ่มเป็น 70%ทั้งนี้คาดว่าขนาดธุรกิจลูกค้ารายย่อยของธนาคารทั้ง 4ประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็น 2เท่า  ให้บริการลูกค้าจำนวน 5.3 ล้านคน และพนักงานอีก 5,000 คน ในจำนวนนี้เป็นพนักงานคนไทยกว่า 1,800 คน ทำให้ยูโอบีก้าวขึ้นเป็นธนาคารที่ลูกค้ารายย่อยและลูกค้าธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนใช้บริการเป็นอันดับแรก

นายยุทธชัย เตยะราชกุล Head of Personal Financial Services ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า ภายหลังการซื้อกิจการครั้งนี้ จะส่งผลยูโอบีขึ้นเป็น 1 ใน 6 ของธุรกิจรายย่อยในประเทศไทย เดิมอยู่ที่ 10 และเป็น 1 ใน 3 ของธุรกิจบัตรเครดิต จากเดิมอยู่ที่ 8

UOBลั่นขึ้นแท่นธนาคารรายย่อยและธุรกิจอาเซียนเป็นอันดับแรก

และเป้าหมายการเติบโตภายใน 3-5 ปี ฐานลูกค้าจะขยายเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากปัจจุบันมีอยู่ 5.3 ล้านราย (4 ประเทศ) จะเพิ่มมากกว่า 10 ล้านคน และพยายามจะลดแก็บระหว่างธุรกิจรายย่อยในอันดับ 5 ที่ปัจจุบันมีสินทรัพย์กว่า 2 ล้านล้านบาท เทียบกับยูโอบีที่มีสินทรัพย์ราว 8 แสนล้านบาท

 

ภายหลังรับโอนกิจการหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ซิตี้แบงก์มีหนี้เสียต่ำกว่าระบบ 20% ดังนั้นในเชิงมูลค่าเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพราะพอร์ตจะมีขนาดใหญ่ขึ้น จากปัจจัยที่ยูโอบีเน้นลูกค้าระดับกลาง และมีความระมัดระวังในการทำธุรกิจ ประกอบกับการตัดหนี้สูญเร็วของซิตี้แบงก์ที่ 120 วัน และยูโอบี 180 วัน

 

นางวีระอนงค์ จิระนคร ภู่ตระกูล Head of Retail and Brand ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า กลยุทธ์ภายหลังการซื้อธุรกิจใน 4 ประเทศ ถือเป็นการปรับกลยุทธ์ในการเติบโตของธนาคารยูโอบีรนอกประเทศสิงคโปร์ ซึ่งภายหลังจากโอนกิจการจะเข้าสู่ “The Most Preferred Retail Bank”

 

ทั้งนี้ ธนาคารยังคงเดินหน้าบริการทุกเซ็กเมนต์ และบริการอย่างยั่งยืนและระยะยาว ไม่เน้นการขายผลิตภัณฑ์ และมุ่งเน้นการเติบโตในกลุ่มลูกค้ามั่งคั่งในอาเซียนที่มีการเติบโตค่อนข้างสูง และรุกลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ผ่านแอปพลิเคชัน UOB TMRW แพลตฟอร์มธนาคารดิจิทัล

 

ทั้งนี้ ภายในระยะเวลา 12 เดือนลูกค้าบัตรเครดิต และสินเชื่อที่ไม่หลักประกันยังคงได้รับบริการจากธนาคารซิตี้แบงก์ต่อเนื่อง ไม่สะดุด ในการทำธุรกรรมต่างๆ เช่น การฝาก โอนเงิน หรือวงเงินสินเชื่อผ่านสาขามากกว่า 150 แห่ง ภายใต้อัตราค่าธรรมเนียมตามประกาศของธปท. ซึ่งลูกค้าจะไม่กระทบต่อการโอนย้ายกิจการครั้งนี้

 

ด้านธนาคารซิตี้แบงก์ ได้ประกาศเสร็จสิ้นการขายธุรกิจธนาคารกลุ่มลูกค้าบุคคล รวมถึงธุรกิจบัตรเครดิต ซึ่งรวมถึงการโอนย้ายพนักงานที่เกี่ยวข้องกว่า 3,000 คนในไทยและมาเลเซีย ให้กับกลุ่มธนาคารยูโอบี โดยการทำธุรกรรมทั้งหมดที่ดำเนินการเสร็จสิ้นอย่างเป็นทางการในครั้งนี้ คาดว่าจะส่งผลให้เกิดผลประโยชน์ด้านเงินทุนแก่ซิตี้มากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ