ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ จัดงาน Media Briefing ครั้งที่ 5 เรื่องความคืบหน้าการผลักดัน FX Ecosystem ใหม่ โดยนางสาวพิมพ์พันธ์ เจริญขวัญ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดการเงิน ธปท. อัพเดตการเคลื่อนไหวเงินบาท โดยกล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ค่าเงินบาทอ่อนค่าประมาณ 1.6% ดูเหมือนไม่เคลื่อนไหวนัก แต่ระหว่างทางแข็งค่าขึ้นลงพอสมควร
โดยเฉพาะไตรมาส 1เงินบาทแข็งค่าแตะ 32 บาทต่อดอลลาร์ ก่อนจะพลิกกลับมา 35บาทต่อดอลลาร์ในไตรมาส 2 ซึ่งจะมีปัจจัยร่วมหลายสกุลเงินอื่นๆด้วย ขณะที่ล่าสุด เงินบาทเคลื่อนไหวลดลงประมาณที่ 6.5% เมื่อ 23 มิ.ย. เทียบกับสกุลเงินประเทศเพื่อนบ้านเงินบาทยังผันผวนสูง ยกเว้น เงินวอน และเงินเยนที่ผันผวสนสูงกว่าไทย
3ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าเงินบาท ได้แก่ ปัจจัยภายนอก เกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและการดำนินนโยบายการเงินของประเทศหลัก ซึ่งเป็นปัจจัยหลัก (สัดส่วนกว่า 60%) 2.ปัจจัยภายในประเทศคือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและสถานการณ์ทางการเมือง และ3.พฤติกรรมบางอย่างที่เป็นลักษณะพิเศษของไทย เช่น การซื้อขายทองคำ/ การออกไปลงทุนต่างประเทศ
“ ความผันผวนของค่าเงินบาทมาจากปัจจุบันภายนอก เกี่ยวกับเศรษฐกิจของประเทศหลัก (สหรัฐ,จีน ) แนวโน้มยังผันผวน จากปัจจัยเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน การเมืองที่ต้องจับตาและปัจจัยพิเศษเช่น การซื้อหรือขายทองคำและการออกไปลงทุนต่างประเทศของนักลงทุนไทย ดังนั้น ผู้ประกอบการต้องป้องกันความเสี่ยงในธุรกิจ ขณะเดียวกันแบงก์ชาติพยายามอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการในการดูแล FX Ecosystem เพื่อให้การทำธุรกรรมอัตราแลกเปลี่ยนมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น”นางสาวพิมพ์พันธ์ กล่าว
-หนุนใช้สกุลเงินท้องถิ่นดูแลค่าเงิน
นางสาวอลิศรา มหาสันทนะ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธปท. กล่าวว่า มองไปข้างหน้าค่าเงินบาทยังมีความผันผวน พร้อมย้ำให้ผู้ประกอบการบริหารจัดการและป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งธปท.ให้ความสำคัญเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่องและได้ปรับปรุงดูแล FX Ecosystem มาอย่างต่อเนื่อง
" FX Ecosystem" ซึ่งเป็นแผนระยะยาวที่ธปท.ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับโครงสร้างระบบนิเวศอัตราแลกเปลี่ยนเอื้อต่อผู้ประกอบการในประเทศและนักลงทุนต่างประเทศและผู้ประกอบการไทยสามารถรองรับความผันผวนอัตราแลกเปลี่ยน เพราะไม่สามารถคาดเดาความผันผวนได้ เนื่องจากเกิดจากปัจจัยภายนอกเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นความสามารถในการบริหารอัตราแลกเปลี่ยนจึงมีความสำคัญ
ส่วนการลงทุนหลักทรัพย์นั้น เป็นเรื่องระยะยาวเช่นกัน และเรื่องการสนับสนุนการใช้สกุลเงินท้องถิ่นหรือLocal Currency ซึ่งดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เนื่องเพราะไทยมีการค้าการลงทุนกับหลายประเทศสำคัญ อาทิจีน สหรัฐ ญี่ปุ่น และประเทศในภูมิภาคในสัดส่วนที่สูงแต่ยังคงใช้เงินดอลลาร์ในการชำระสูงใกล้ 80% (79.6%) โดยมีการใช้สกุลเงินท้องถิ่นเพียง 20%
จึงเป็นเหตุผล เมื่อดอลลาร์ผันผวนจะส่งผลต่อค่าเงินบาทและส่งผลต่อผู้นำเข้าและส่งออกไทย แต่หากเทียบค่าเงินบาทกับค่าเงินภูมิภาคจะเคลื่อนไหวทิศทางเดียวกับเงินบาท ขณะเงินบาทเคลื่อนไหวสวนทางกับดอลลาร์
ดังนั้นเรื่องการใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการชำระ จะเป็นทางเลือกที่ผู้ประกอบการนำไปพิจารณาเพื่อจะลดผลกระทบจากความผันผวนหรือผลกระทบดอลลาร์ในอนาคตได้ ที่ผ่านมา ธปท.ได้ดำเนินการไปแล้วใน 4สกุลหลัก (หยวน ริงกิต รูเปียะห์ และ เยน)
โดยแผนงานในระยะถัดไปของ ธปท. ครอบคลุมถึงการร่วมมือกับธนาคารกลางในภูมิภาคผ่อนคลายหลักเกณฑ์เพิ่มเติม การร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์เพื่อหาแนวทางอำนวยความสะดวกและลดต้นทุนในการทำธุรกรรม ตลอดจนประชาสัมพันธ์และส่งเสริมความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการ
-เดินแผนเพิ่มเติมปี66
นางสาวชนานันท์ สุภาดุล ผู้อำนวยการ ฝ่ายนโยบายและกำกับการแลกเปลี่ยนเงิน ธปท. กล่าวว่า ระยะต่อไปปีนี้(2566) แผนดำเนินงานเพิ่มเติมอแบ่งเป็นสองเรื่อง ได้แก่ 1.ส่งเสริมสกุลเงินท้องถิ่น 2. ผ่อนเกณฑ์โอนเงินออกนอกประเทศให้คล่องตัวขึ้น โดยขยายวงเงินเพื่อวัตถุประสงค์ให้เปล่า เป็น 2แสนดอลลาร์สหรัฐต่อปีจากเดิมอยู่ที่ 50,000ดอลลาร์
และกรณีบริษัทไทยที่ต้องการจะส่งเงินไปให้บริษัทแม่ในต่างประเทศช่วยบริหารจัดการสภาพคล่อง(National Pooling) ปัจจุบันต้องขอเป็นรายกรณี ดังนั้น จึงผ่อนคลายให้เป็นการทั่วไป โดยไม่ต้องขออนุญาตกับธปท.แล้ว และขยายวงเงินลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศของนักลงทุนรายย่อยไม่ผ่านตัวกลางจาก 5 ล้านดอลลาร์เป็น 10 ล้านดอลลาร์
ในฝั่งบริษัทและนักลงทุนต่างชาติได้เพิ่มความคล่องตัวผ่าน 2โครงการ
(1) ขยายขอบเขตโครงการ Non-Resident Qualified Company (NRQC) ให้บริษัทต่างชาติที่ทำธุรกิจชำระเงินระหว่างประเทศเข้าร่วมโครงการได้ โดยโครงการ NRQC มีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริษัทต่างชาติทำธุรกรรมกับสถาบันการเงินไทยได้คล่องตัวขึ้นอีกทั้งปรับขั้นตอนการสมัคร NRQC ให้สะดวกขึ้น และ
(2) ให้นักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนในหลักทรัพย์ไทยป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนกับสถาบันการเงินไทยได้โดยตรง จากเดิมที่ต้องทำธุรกรรมผ่านตัวกลางที่เป็นสถาบันการเงินในต่างประเทศเท่านั้น
การดำเนินงานดังกล่าวจะช่วยให้ภาคเอกชนสามารถทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศและบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้สะดวกยิ่งขึ้น ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง
“ตอนนี้มีคนเข้ามาเป็นNRQCแล้ว 63บริษัทโดยมาจากหลายภูมิภาค ส่วนใหญ่มาจาก ยุโรป ญี่ปุ่น อเมริกาเหนือ แต่โครงการNRQC ยังมีบริษัทแสดงความสนใจจึงจะขยายให้ครอบคลุมด้านเพย์เม้นต์ด้วย และกระบวนการสมัครปรับขั้นตอนให้กระชับขึ้น”
ส่วนโครงการBIR ( Bond Investor Registration: BIR) เพื่อจะติดตามข้อมูลผู้ลงทุนที่เป็นเจ้าของที่แท้จริงในตลาดพันธบัตรหรือบอนด์ไทย ซึ่งหลังจากทำโครงการ BIRพบว่ามีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทะเบียนกว่า 9,734ราย และทำให้ธปท.ได้ข้อมุลและมีความถี่เป็นรายวันช่วยให้เราสามารถติดตามพฤติกรรมของผู้ลงทุนหรือโฟลว์ของผู้ลงทุนได้ดีขึ้นอย่างมาก
นางสาวชนานันท์ สุภาดุลกล่าวถึงความคืบหน้าของแผนงานที่ได้ดำเนินการไปก่อนหน้า แบ่งเป็น 3กลุ่มคือ กลุ่มผู้ประกอบการ, กลุ่มนักลงทุนไทย, กลุ่มบริษัทและนักลงทุนต่างชาติ สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการไทยนั้น ธปท.ผ่อนคลายเกณฑ์ FX Ecosystemเพื่อให้มีความสะดวกมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดย3ปีที่แล้ว ธปท.เปิดเสรีบัญชีเงินฝากสกุลต่างประเทศ (FCD)ของคนไทย โดยอนุญาตคนไทยซื้อเงินตราต่างประเทศ และเก็บเงินฝากในบัญชีFCDได้โดยไม่จำกัดจำนวน และสามารถโอนบัญชีFCDระหว่างคนไทยได้ เป้าประสงค์ในครั้งนั้นต้องการจะให้ผู้ประกอบการและคนไทยสามารถใช้บัญชีFCDในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ดีขึ้น
ทั้งนี้ บัญชีFCD มีการเติบโตต่อเนื่องหลังจากผ่อนเกณฑ์ ล่าสุดไตรมาส 1ที่ผ่านมา มีจำนวนบัญชี 4.32แสนบัญชีและผู้ใช้บริการ 6.21แสนราย ขณะที่การผ่อนเกณฑ์ทั้ง 3หมวด คือ 1.ให้คนไทยสามารถโอนเงินออกได้สะดวกขึ้น ,หมวดที่ 2 ทำให้คนไทยป้องกันความเสี่ยง (Hedge FX) ได้ตามความเสี่ยงที่มีเพิ่มขึ้น
และมีรายใหม่ Hedge มากขึ้นเป็น 107รายต่อเดือนจาก 83ราย และหมวดที่3.คือ ลดภาระเอกสาร ยกเว้นเอกสารหรือไม่ต้องเรียกเอกสารสำหรับลูกค้าที่ธนาคารพาณิชย์รู้จักดีแล้ว (Know Your Business) พบว่า 95%ของมูลค่าธุรกรรมทั้งหมด ธนาคารไม่ต้องเรียกเอกสารแล้ว