นายปิติ ดิษยทัต เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวภายหลังการแถลงผลการประชุม กนง. ในวันที่ 27 กันยายน 2566 (ครั้งที่ 5/2566) โดยระบุว่า ภาพรวมทั้งเศรษฐกิจและเงินเฟ้อระยะข้างหน้าปีนี้ฟื้นตัวในอัตราที่ชะลอกว่าที่คาดไว้
แต่ปีหน้ามีโอกาสจะเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงด้านสูงจากแรงส่งของภาครัฐในแง่ของมาตรการดิจิทัลวอลเล็ต ยังมีความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือระยะเวลาที่อาจจะล่าช้าจากเดือนกุมภาพันธ์ และขนาด ซึ่งเป็นไปได้ที่จะมีแรงส่งมากกว่าที่ได้คาดไว้
ในส่วนมาตรการดิจิทัลวอลเล็ตนั้น ตอนนี้ยังไม่ชัดเจนเรื่องรูปแบบ หรือระยะเวลาที่คาดว่าจะเริ่มเดือนก.พ. และขนาดยังไม่แน่นอน โดยจากที่ประกาศในแง่ของเม็ดเงิน 5.6แสนล้านบาท แต่ต้องดูก่อนว่าการอิมพลีเม้นกระบวนการงบประมาณหรือไฟแนนซ์คือ ต้องดูหลาย scenario
แต่มาตรการนี้(ดิจิทัล วอลเลต) มาแน่ไม่ว่าจะมารูปแบบไหนก็ตาม ค่อนข้างจะมั่นใจจะทำให้จีดีพีโตอย่างน้อย 4.4% ส่วนจะเป็น 4.4% หรือ4.6%ต้องดูรูปแบบอีกสักระยะ ทั้งนี้ ผลศึกษาจากการใช้จ่ายโดยภาครัฐ ที่ผ่านมาจะส่งผลทวีคูณต่อเศรษฐกิจประมาณ 0.3-0.6เท่า
ส่วนเงินเฟ้อทั่วไปแนวโน้มจะกลับสู่กรอบเป้าหมาย โดยปีนี้คาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำที่ 1.6% ปีหน้าอยู่ที่ 2.6% จากเดิมคาดไว้ที่ 2.5% และ 2.4% ตามลำดับ อย่างไรก็ตามอัตราเงินเฟ้อยังมีความเสี่ยงด้านสูง นอกจากแรงส่งอุปสงค์อาจจะสูงขึ้นอาจจะมีซัพพลายช็อคจากนโยบายภาครัฐ ต้นทุนราคาอาหาร ราคาน้ำมัน ละแอลนิโญ
โดยรวมภายใต้ภาพดังกล่าว คณะกรรมการกนง.จึงให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายรอบนี้เป็น 2.50%จาก 2.25%ต่อปี พร้อมปรับลดประมาณการปีนี้เหลือโต 2.8% จากเดิมคาดไว้ที่ 3.6% โดยปรับลดประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวเหลือ 28.5ล้านคนจาก 29ล้านคน และปีหน้าขยายตัวเป็น 4.4% จากเดิมคาดไว้ที่ 3.8%โดยได้รวมมาตรการภาครัฐแล้วและคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะอยู่ที่ 35 ล้านคนจากเดิมคาดไว้ 35.5ล้านคน
“ หลักๆ คณะกรรมการพิจารณา 3ปัจจัย คือ ต้องมั่นใจเศรษฐกิจเข้าสู่ระดับศักยภาพ , เงินเฟ้อโน้มเข้าสู่กรอบเป้าหมาย ,และศักยภาพของระบบการเงินโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ที่ดีไม่มีปัญหา ฉะนั้นภาพของ 3องค์ประกอบหลักไม่เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่มีอยู่ก็เป็นระดับที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจหรือNeutral rate ภายใต้แนวโน้มของเศรษฐกิจที่ประเมินณ ตอนนี้”
ต่อข้อถามความกังวลจากหลายหน่วยงาน “เรื่องเสถียรภาพทางการคลังของประเทศไทยนั้น” ดร.ปิติกล่าวว่า ภาคการคลังของไทยมีศักยภาพค่อนข้างมาก ในแง่จุดตั้งต้นถือว่าดี โดยเฉพาะเทียบกับต่างประเทศ หนี้ของไทยก็ไม่ได้อยู่ในระดับสูงมาก มองแนวโน้มไปข้างหน้าเศรษฐกิจเติบโตตามแนวโน้มศักยภาพ ศักยภาพของภาครัฐในการที่จะก่อหนี้เพิ่มในระดับหนึ่งยังมีอยู่ไม่เป็นประเด็นต่อความยั่งยืนในระยะยาว
“ เรื่องนี้รัฐบาลพิจารณาอยู่ค่อนข้างใกล้ชิด เพราะวิธีการ รูปแบบไฟแนนซ์มีผลต่อเครดิตเอเจนซี่ และความยั่งยืนทางด้านการคลังของประเทศด้วย ทางรัฐบาลตระหนักเรื่องนี้อย่างยิ่ง คงหาทางออกที่ดีที่สุดให้มีความชัดเจนออกมา แต่ภาพรวมของศักยภาพด้านการคลังของไทยถือว่าดี
เพียงแต่ช่วงนี้อาจจะเป็นเรื่องของความไม่ชัดเจนว่าซัพพลายพันธบัตรจะออกมามากน้อยขนาดไหน ซึ่งคณะกรรมการได้คำนึงถึงตลาดการเงินเรื่องนี้อยู่และเป็นสิ่งที่คณะกรรมการติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป”
ต่อข้อถามความจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการดูแลอัตราแลกเปลี่ยน ดร.ปิติกล่าวว่า ภาพรวมเงินบาทยังคงสอดคล้องกับภูมิภาค หากดูตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันเงินบาทอ่อนค่า 3-4% เป็นความผันผวน ยกตัวอย่าง ทิศทางสกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)ส่งสัญญาณการดำเนินนโยบายการเงิน
ดังนั้น การอ่อนค่าของเงินบาทไม่ได้หลุดจากปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งการอ่อนค่าของเงินบาทยังมีประโยชน์และสนับสนุนภาคการส่งออกรองรับแรงกระแทกได้ โดยการอ่อนค่าของเงินบาทยังไม่ได้เกิดพลวัตรที่น่าเป็นห่วง