นางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมกระทันหันที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดของพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลางตอบนนั้น ภายในสัปดาห์นี้ ธปท.จะออกหนังสือเวียนผ่อนผันเพิ่มเติมเพื่อเปิดให้สถาบันการเงินเจ้าหนี้เข้าช่วยเหลือลูกหนี้เพื่อลดภาระและเสริมสภาพคล่องของลูกหนี้เพิ่มเติม
เช่น ขอให้พิจารณาให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มเติม (สินเชื่อ/สภาพคล่อง)เพื่อการซ่อมแซมทีอยู่อาศัย ,กรณีเป็นสินเชื่อบัตรเครดิตให้พิจารณาปรับลดวงเงินผ่อนชำระขั้นต่ำได้ สำหรับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งกำหนดระยะเวลาประมาณ 1ปี
นอกจากนี้สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้กำกับรวมถึงสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล จะพิจารณาผ่อนผันหลักเกณฑ์ เช่น วงเงินช่วงคราว กรณีฉุกเฉิน,หรือกรณีจำเป็น เพื่อการดำรงชีพและช่วยฟื้นฟูจัดการปัญหาภัยพิบัติที่เกิดขึ้น
นางสาวสุวรรณี ยังได้กล่าวถึงสถานการณ์หนี้ครัวเรือน โดยระบุว่า ตัวเลขหนี้ครัวเรือนไตรมาส2ของปีนี้จะออกมาในเดือนหน้าหรือเดือนก.ย. คาดว่าหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีน่าจะปรับลดลงเล็กน้อย เมื่อเทียบจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและการเติบโตของสินเชื่อ ทั้งนี้ไตรมาส 1 หนี้ครัวเรือนล่าสุดปรับลดลงมาอยู่ที่ 90.8%
อย่างไรก็ตามสำหรับหนี้ภาคธุรกิจต่อจีดีพีนั้น สะท้อนการปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาส4ปีที่แล้วอยู่ที่ 87.3% เป็น 87.9% สอดคล้องกับการก่อหนี้และการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่ความสามารถในการทำกำไร โดยรวมปรับเพิ่มเป็น 8.01% จาก 7.07% จากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว หลักๆมาจากกลุ่มปิโตรเลี่ยม
กอร์ปกับผลขาดทุนจากการสต๊อคน้ำมันทยอยลดลงแล้ว กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่ต้นทุนวัตถุดิบเคยปรับสูงเมื่อปีก่อนทยอยลดลง และค่าบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ
นอกจากนี้ ยังต้องติดตามบางธุรกิจที่มีปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งกลุ่มที่มีความเสี่ยงจากกากรแข่งขัน อาทิ เหล็ก ยานยนต์ หรือสินค้าที่ถูกดันด้านราคาจากสินค้านำเข้าจากจีน ไม่ว่าเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องนุ่งห่ม เฟอร์นิเจอร์
นางสาวสุวรรณี กล่าวเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าภายใต้มาตรการการปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม( Responsible Lending หรือ RL ตั้งแต่วันที่ 1ม.ค.2567) โดยระบุว่า ครึ่งปีการปรับโครงสร้างหนี้สะสมของระบบสถาบันการเงิน โดยมีลูกหนี้สะสมรวม 4.9ล้านบัญชี มูลหนี้ 1.5ล้านบาท หลักๆมาจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) 3.69 ล้านบัญชี 0.97 ล้านล้านบาท ซึ่งเร่งให้การช่วยเหลือไตรมาส 1ที่ผ่านมา ทั้งหนี้เกษตร, หนี้รายบุคคล และในส่วนของธนาคารพาณิชย์ และนอนแบงก์การให้ความช่วยเหลือ 1.21 ล้านบัญชี มูลหนี้0.53ล้านล้านบาท
โดยเฉพาะลูกหนี้SMEs และรายย่อย พบว่า การปรับโครงสร้างหนี้ส่วนใหญ่ประมาณเกือบ 90%เป็นการปรับก่อนที่ลูกหนี้จะเป็นเอ็นพีแอล(DR) ซึ่งเฉพาะรายย่อยได้ให้ความช่วยเหลือ 1.17ล้านล้านบาท เทียบจากเอ็นพีแอลใหม่ที่สูงขึ้น พบว่าประมาณ 5.6เท่าของเอ็นพีแอลเกิดใหม่