ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ บริษัท ทรีนีตี้วัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ TNITY เปิดเผยว่า ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจปี 2568 คาดว่ายังคงอยู่ในทรงของการชะลอตัว หรือฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีทั้งปัจจัยเชิงบวก เช่น นโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีขึ้น ความต้องการบริโภคที่ขยายตัว รวมถึงการจับจ่ายใช้สอย
ทั้งนี้ มองว่าเศรษฐกิจประเทศไทยในปี 2568 อัตราการเติบโตของ GPD อาจต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์เฉลี่ยที่ระดับ 3% โดยอาจหดตัวอยู่ที่ระดับใกล้เคียงกับปี 2567 หรืออยู่ในระดับช่วงประมาณ 2.6-2.8% แม้ว่าปัจจัยภายในประเทศดูมีทิศทางที่ดีขึ้น หลักๆ เป็นไปตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการอัดฉีดเงินลงทุนของรัฐฯ
รวมถึงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 2 ให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีชึ้นไป และแจกเงินดิจิทัล 10,000 เฟส 3 ให้กับกลุ่มลงทะเบียนผ่านแอปฯ “ทางรัฐ” เมื่อวันที่ 15 ก.ย.67 ที่ผ่านมา ที่คาดว่าจะเข้ามาช่วยกระตุ้นการบริโภคและการจับจ่ายใช้สอยในประเทศได้บ้างแต่ไม่มาก
พร้อมกันนี้ ก็ยังคงต้องความหวังที่การอัดฉีดเม็ดลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ต่างๆ รวมถึงการผลักดันของโปรเจ็กต์ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ซึ่งจะเป็นอีกแรงหนุนสำคัญในการใส่เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ตั้งแต่การดำเนินการก่อสร้าง ไปจนถึงในด้านของการท่องเที่ยว
ประกอบกับยังต้องจับตาแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของแบงก์ชาติ ซึ่งทางฝ่ายคาดการณ์ว่าในปี 68 จะได้เห็นการปรับลงอีก 1 ครั้ง ที่ 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 2% หากว่ามีเซอร์ไพรส์แบงก์ชาติหั่นดอกเบี้ยไทยลงมาเหลือที่ราว 1.5% ได้ ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับอัตราเงินเฟ้อ จะช่วยชดเชยผลกระทบจากเทรดวอร์ลงได้ ต้นทุนทางการเงินภาคเอกชนลดลง
ขณะที่ปัจจัยลบที่จะเข้ามากระทบต่อเศรษฐกิจปี 2568 นั้น หลักๆ ยังคงมาจากความไม่แน่นอนของนโยบายการบริหารประเทศ หลังจากที่ "โดนัลด์ ทรัมป์" ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทำให้ได้หวนคืนสู่ทำเนียบขาวเป็นสมัยที่ 2 แต่การกลับมาของทรัมป์ในครั้งนี้ก็มาพร้อมกับความวุ่นวายพอสมควร และปั่นกระแสด้วยการออกมาเปรยนโยบายต่างๆ เป็นระยะๆ
ทำให้ตลาดเกิดความกังวลใจ แม้ว่าด้วยนโยบายการปรับลดภาษีนิติบุคคลของ "ทรัมป์" จะส่งอานิสงส์เชิงบวกต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้กระแสเงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นเอเชีย รวมถึงไทยกลับไปยังสหรัฐฯ จะเห็นได้ว่ากระแสเงินทุนต่าวชาติเริ่มีการไหลออกอย่างชัดเจนมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนต.ค. เป็นต้นมา
นอกจากนี้ ไทยยังคงมีความเสี่ยงจากการโดนหางเลขของการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า "ทรัมป์" มีนโยบายในการขึ้นภาษีนำเข้าโดยเฉพาะในประเทศที่มีตัวเลขการค้าที่เกินดุล แน่นอนว่าอันดับหนึ่งในสายตาคงหนีไม่พ้นประเทศจีน เม็กซิโก และแคนาดา รวมไปถึงเอเชียด้วย
หากไปดูไส้ในรายละเอียดประเทศที่ขาดดุลการค้านอกเหนือจากจีนแล้ว ในเอเชียยังมีประเทศเวียดนาม มาเลเซีย และไทย ร่วมด้วย ส่งผลให้ในปี 2568 ไทยมีความเสี่ยงเรื่องความไม่แน่นอนในการถูกหางเลขโดนปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี ในช่วงเดือนต.ค.-ธ.ค. จะเห็นได้ว่ายอดตัวเลขการส่งออกของไทยมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความต้องการสต็อกสินค้าเพราะกังวลว่าหลังจากที่ทรัมป์เข้ามารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในช่วงต้นปี 2568 จะเริ่มเดินหน้าลงดาบภาษีนำเข้าอย่างจริงจัง ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการนำเข้าปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น จากปัจจัยดังกล่าวทำให้ทางฝ่ายมองว่าในช่วงครึ่งแรกปีหน้าการตัวเลขการส่งออกไทยโดยเฉพาะกับตลาดสหรัฐฯ อาจชะลอตัวลง โดยคาดการณ์ว่าตัวเลขการส่งออกไทยจะอยู่ที่ระดับต่ำประมาณ 1.4-1.5% จากสิ้นปี 2567 ที่คาดว่าจะขยายตัวอยู่ที่ระดับกว่า 3.6%
ในด้านการท่องเที่ยวนั้น มองว่าการเดินทางระหว่างประเทศยังมีแนวโน้มการขยายตัวที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงเดือนพ.ย. ที่ผ่านมา ตัวเลขนักท่องเที่ยวกลับมาขยายตัวดีกว่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2562 หรือก่อนเกิดโควิด-19 ระบาด แล้ว
แต่อย่างไรก็ดี ในปี 2568 อาจยังต้องจับตา แม้ว่ายอดนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้น แต่อัตราการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวอาจลดลงมาอยู่ที่ต่ำกว่า 40,000 บาท/หัว จากค่าเฉลี่ยในอดีตที่เคยทำได้ราย 50,000-56,000 บาท/หัว จะเห็นได้ว่านักท่องเที่ยวค่อนข้างระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น