ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 8เม.ย.“อ่อนค่าลงหนัก” ที่ระดับ 34.70 บาทต่อดอลลาร์

08 เม.ย. 2568 | 01:04 น.
อัปเดตล่าสุด :08 เม.ย. 2568 | 03:29 น.

ค่าเงินบาทยังคงเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลง บนความผันผวนที่สูงขึ้น เงินดอลลาร์เสี่ยงผันผวนสูงในลักษณะ “Two-Way Volatility” กรอบในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.50-34.80 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 8เม.ย. 2568 ที่ระดับ  34.70 บาทต่อดอลลาร์จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ  34.21 บาทต่อดอลลาร์(ณ วันศุกร์ที่ 4 เมษายน)

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่านับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์ที่4เม.ย. เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวอ่อนค่าลงทะลุโซนแนวต้าน 34.50 บาทต่อดอลลาร์ อย่างชัดเจน

 (แกว่งตัวในกรอบ 34.12-34.78 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการรีบาวด์สูงขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จากรายงานข้อมูลยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เดือนมีนาคม ของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น +2.28 แสนราย ดีกว่าที่ตลาดคาด

 ขณะเดียวกัน ถ้อยแถลงของประธานเฟดในช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมาก็สะท้อนว่า เฟดยังมีความกังวลผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากแนวโน้มนโยบายการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้เฟดยังไม่เร่งรีบปรับลดดอกเบี้ยอย่างที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่ ซึ่งการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เพิ่มแรงกดดันต่อเงินบาท

นอกจากนี้ ในช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันหยุดทำการของตลาดการเงินไทย เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนไปตามกระแสข่าวนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วทดสอบโซน 34.20-34.30 บาทต่อดอลลาร์ หลังมีรายงานข่าวว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

อาจเลื่อนเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) เป็นเวลา 90 วัน (ยกเว้นประเทศจีน) ทว่าเงินบาทก็กลับมาอ่อนค่าอย่างรวดเร็วอีกครั้ง สู่ระดับ 34.70 บาทต่อดอลลาร์ หลังทางการสหรัฐฯ ออกมาปฏิเสธกระแสข่าวดังกล่าว ทำให้บรรยากาศในตลาดการเงินยังคงถูกกดดันจากความกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐ

สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาททยอยอ่อนค่าลง ท่ามกลางความกังวลผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว อีกทั้ง ราคาทองคำก็ปรับตัวลดลง เข้าสู่ช่วงการพักฐาน

 

สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง อัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ พร้อมจับตา แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI เดือนมีนาคม นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (U of Michigan Consumer Sentiment) ในเดือนเมษายน ซึ่งอาจปรับตัวลดลงต่อเนื่อง

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (Inflation Expectations) ระยะสั้นและระยะยาว ในรายงานเดียวกันนั้น ก็อาจปรับตัวสูงขึ้น ท่ามกลางความกังวลผลกระทบของนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ

นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และที่สำคัญ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้าต่างๆ

รวมถึงแนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้า (จะมีการประกาศชะลอขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้ Reciprocal Tariffs หรือไม่?) หลังรัฐบาลสหรัฐฯ ได้เดินหน้านโยบายการค้าที่มีความรุนแรงมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่ผ่านมา

ฝั่งยุโรป – บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของทั้งธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ BOE และ ECB

โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดคาดว่า ECB อาจลดดอกเบี้ย ได้อีกราว 3 ครั้ง ในปีนี้ และมองว่า BOE มีโอกาสราว 79% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ย เพิ่มเติมราว 3 ครั้ง ในปีนี้ ในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ยอดผลการผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Production) ของอังกฤษ ในเดือนกุมภาพันธ์ 

▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI เดือนมีนาคม ในส่วนของนโยบายการเงิน บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า

ความกังวลผลกระทบจากการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 แนวโน้มการชะลอลงของทั้งกิจกรรมทางเศรษฐกิจและอัตรเงินเฟ้อ อาจเปิดโอกาสให้บรรดาธนาคารกลางในเอเชียใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น

โดย ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) และธนาคารกลางอินเดีย (RBI) อาจลดดอกเบี้ยนโยบาย 25bps สู่ระดับ 3.50%, 5.50% และ 6.00% ตามลำดับ

ฝั่งไทย – รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจจะอยู่ที่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) เดือนมีนาคม สำหรับ แนวโน้มเงินบาท นั้น เรายังคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลง จนกว่า ตลาดจะคลายกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ

อย่างไรก็ดี ความผันผวนของเงินบาทอาจอยู่ในระดับที่สูงขึ้นจากช่วงก่อนหน้า จากความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึง ความผันผวนของบรรดาสินทรัพย์ที่ส่งผลกระทบต่อเงินบาทพอสมควร

อย่าง ราคาทองคำ อนึ่ง เรายังคงมั่นใจ ว่า เงินบาทยังอยู่ในแนวโน้มการอ่อนค่า ตราบใดที่เงินบาทยังคงเคลื่อนไหวเหนือโซน 34.00-34.10 บาทต่อดอลลาร์ เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทอาจถูกชะลอลงได้บ้าง

โดยเงินบาทมีโซนแนวต้านแถว 34.75 บาทต่อดอลลาร์ (แนวต้านถัดไป 35.00 บาทต่อดอลลาร์) ขณะที่โซนแนวรับจะอยู่ในช่วง 34.40-34.50 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 34.00 บาทต่อดอลลาร์)

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เงินบาทยังคงเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลง บนความผันผวนที่สูงขึ้น จนกว่าตลาดจะคลายกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ หรือราคาทองคำหยุดปรับตัวลดลงและทยอยรีบาวด์ขึ้น

ขณะที่ ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติในระยะสั้นอาจยังคงเห็นแรงขายสินทรัพย์เสี่ยง อย่าง หุ้นไทย ควบคู่การทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวของไทย

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์เสี่ยงผันผวนสูงในลักษณะ “Two-Way Volatility” ขึ้นกับแนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่จะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงิน

และมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด นอกจากนี้ ต้องรอลุ้นรายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ รวมถึงอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ที่จะกระทบต่อทิศทางเงินดอลลาร์ได้

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 34.20-35.00 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.50-34.80 บาท/ดอลลาร์

 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 2 เดือนครึ่งที่ 34.71 บาทต่อดอลลาร์ฯ (นับตั้งแต่ 16 ม.ค. 68) ก่อนจะกลับมาปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.63-34.65 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.40 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดในประเทศช่วงปลายสัปดาห์ก่อนที่ 34.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ

เงินบาทอ่อนค่าสอดคล้องกับราคาทองคำในตลาดโลกที่ร่วงลงอย่างหนักหลุดแนว 3,000 ดอลลาร์ฯ ต่อออนซ์ ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ฟื้นตัวกลับมาพร้อมๆ กับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ หลังตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด (การจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่ม 2.28 แสนตำแหน่งในเดือนมี.ค. ตลาดคาดที่ 1.35 แสนตำแหน่ง)  และถ้อยแถลงประธานเฟด ยังไม่สะท้อนสัญญาณรีบปรับลดดอกเบี้ย แม้จะยอมรับว่าผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ มีแนวโน้มมากกว่าที่ประเมินไว้ 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 34.50-34.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ แรงขายสินทรัพย์เสี่ยงท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก และสัญญาณฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ