บางจากไล่ซื้อหุ้นแร่ลิเธียมเพิ่ม ชี้น้ำมันดิบราคาตกเริ่มอยู่ยาก

09 ก.ย. 2559 | 08:00 น.
บางจากเล็งซื้อหุ้นเหมืองลิเทียมเพิ่มเป็น 20% จากปัจจุบันถืออยู่ 7% เผยเตรียมผลิตแร่ลิเทียมเดือนมีนาคมปีหน้า 2.5 หมื่นตันต่อปี และจะเพิ่มเป็น 5 หมื่นตันในปี 2561 ล่าสุดลูกค้าเกาหลีใต้และญี่ปุ่นต่อคิวซื้อเพื่อนำไปผลิตเป็นแบตเตอรี่ ขณะที่ราคาน้ำมันดิ่ง 40 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลอยู่ยาก

[caption id="attachment_95352" align="aligncenter" width="335"] ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช  กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน) ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช
กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน)[/caption]

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาเพิ่มสัดส่วนถือหุ้นในบริษัท ลิเทียม อเมริกา (LAC) ซึ่งมีเหมืองลิเทียมอยู่ที่สหรัฐอเมริกา และอาร์เจนตินา จากปัจจุบันบางจากถือหุ้นอยู่ที่ 7% โดยใช้เงินลงทุน 150 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมีสิทธิ์ถือหุ้นได้ 20% ดังนั้นจึงอยู่ระหว่างการพิจารสัดส่วนถือหุ้นและเงินลงทุน โดยจะมีข้อสรุปก่อนเดือนมีนาคม 2560

โดยเหมืองลิเทียมในอาร์เจนตินา จะเริ่มผลิตแร่ลิเทียม คอร์บอเนต ได้ภายในเดือนมีนาคม 2560 คาดว่าจะมีกำลังการผลิตในระยะแรก 2.5 หมื่นตันต่อปี และเพิ่มเป็น 5 หมื่นตันต่อปีในปี 2561 ปัจจุบันแร่ลิเทียมเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก เนื่องจากเป็นธาตุสำคัญในการผลิตแบตเตอรี่ โดยขณะนี้มีลูกค้าเกาหลีใต้และญี่ปุ่นมาเจรจาทำสัญญาซื้อขายแร่ลิเทียมในเหมืองดังกล่าวแล้ว

"ตอนนี้บางจากกำลังดูอยู่ว่าจะเพิ่มสัดส่วนถือหุ้นในธุรกิจเหมืองลิเทียมเท่าไร และต้องใช้เงินลงทุนมากน้อยเพียงใด แต่พบว่าความต้องการแร่ลิเทียมเพื่อใช้ในการผลิตแบตเตอรี่เพิ่มสูงขึ้นมาก เพราะแร่หายาก แต่บางจากคงไม่ลงทุนโรงงานผลิตแบตเตอรี่ เพราะเทคโนโลยียังไม่นิ่ง และการแข่งขันสูง ขณะเดียวกันคงไม่โยนธุรกิจเหมืองลิเทียมไปให้กับบริษัท บีซีพีจี เพราะเป็นธุรกิจต้นน้ำ บางจากคงทำเอง ส่วนบีซีพีจีคงเป็นลูกค้า หรือผู้ใช้แบตแตอรี่เพื่อสะสมพลังงานไฟฟ้า"นายชัยวัฒน์ กล่าว

สำหรับสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ล่าสุดยังคงผันผวน จากเดิมที่คาดว่าราคาผ่านจุดต่ำสุดในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาไปแล้ว แต่ในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ราคาน้ำมันก็ดิ่งลงอีกอยู่ที่ 40 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากซาอุฯผลิตน้ำมันดิบเพิ่มอีก 2-3 แสนบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้กำลังการผลิตมากกว่าความต้องการใช้ ดังนั้น ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบลดลง โดยส่วนตัวมองว่าราคาน้ำมันดิบที่ระดับ 40 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเป็นราคาที่ผู้ผลิตอาจจะขาดทุนได้

นายชัยวัฒน์ กล่าวอีกว่า ดังนั้น ในช่วงกลางเดือนกันยายนนี้ ทางกลุ่มโอเปกจะมีการประชุมเพื่อหารือรักษาระดับราคาน้ำมันดิบ โดยส่วนตัวมองว่าราคาน้ำมันดิบควรอยู่ที่ระดับ 55-60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ผู้ผลิตจึงจะสามารถอยู่ได้ นอกจากนี้ บริษัทที่ปรึกษาด้านน้ำมันของสก๊อตแลนด์ เปิดเผยข้อมูลว่าในปี 2558 ที่ผ่านมา มีการขุดพบแหล่งน้ำมันดิบต่ำสุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้คาดว่าในช่วง 2-3 ปีข้างหน้ามีโอกาสที่น้ำมันดิบจะเกิดปัญหาการผลิตที่ไม่ต่อเนื่องจนส่งผลกระทบต่อซัพพลายได้

สำหรับธุรกิจสำรวจขุดเจาะของบริษัท Nido Petroleum Limited ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ประเทศออสเตรเลีย ที่ดำเนินธุรกิจด้านการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (บางจากถือหุ้น 55%) ปัจจุบันได้รับสัมปทานขุดเจาะแหล่งปิโตรเลียมในประเทศฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ทั้งนี้แม้ว่าราคาน้ำมันดิบจะอยู่ในระดับต่ำแต่การผลิตในแหล่ง Galoc ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ยังคงผลิตเต็มกำลังอยู่ที่ 5 ,000 บาร์เรลต่อวัน หรือหากคิดตามสัดส่วนถือหุ้นจะอยู่ที่ 2,700-2,8000 บาร์เรลต่อวัน โดยแหล่งดังกล่าวมีต้นทุนอยู่ที่ 28 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล นอกจากนี้ บางจากยังคงมองหาโอกาสลงทุนในธุรกิจสำรวจขุดเจาะแหล่งปิโตรเลียมอื่นๆเพิ่มเติม

ส่วนปริมาณนำเข้าน้ำมันดิบเพื่อใช้สำหรับโรงกลั่นบางจาก ปัจจุบันพบว่าแหล่งปิโตรเลียมในประเทศมีกำลังการผลิตลดลง ส่งให้บางจากต้องนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นจากเดิม 50% เป็น 60% อย่างก็ตามคาดว่าในช่วง 2 เดือนข้างหน้า ราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวสูงขึ้น จากการประชุมของกลุ่มโอเปกเพื่อรักษาระดับราคาน้ำมันดิบไม่ให้ต่ำเกินไป

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,190 วันที่ 8 - 10 กันยายน พ.ศ. 2559