ปิดตำนานแร่สังกะสีผาแดงจัดทัพธุรกิจใหม่ 5 ปีใช้หมื่นล.ลุยโซลาร์ฟาร์ม/กำจัดกาก

16 ก.ย. 2559 | 08:00 น.
ผาแดงอินดัสทรี ปิดตำนานธุรกิจแร่สังกะสีสมบูรณ์แบบสิ้นไตรมาส 1 ปี 60 หลังทยอยไล่ปิดเหมืองและโรงถลุงแร่ แต่ยังเอาใจลูกค้าหันไปนำเขาป้อนตลาดแทน พร้อมกางแผนเดินธุรกิจใหม่ 5 ปี คาดจะใช้ไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท ลุยธุรกิจโซลาร์ฟาร์มทั้งใน-ต่างประเทศ และกำจัดกากอุตสาหกรรม

นายฟรานซิส แวนเบลเลน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือพีดีไอ เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ภายหลังที่บริษัทได้ดำเนินการขุดแร่สังกะสี เหมืองแม่สอด จังหวัดตาก เสร็จเรียบร้อยแล้ว และได้ทำการปิดเหมืองไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เนื่องจากประมาณแร่หมด ไม่คุ้มกับการดำเนินงาน โดยมีปริมาณแร่ที่นำมาถลุงผลิตเป็นสังกะสีได้ประมาณ 3 หมื่นตัน ซึ่งจะทำให้โรงงานถลุงแร่ที่อำเภอเมือง จังหวัดตาก จะสามารถดำเนินกิจการได้ถึงไตรมาสแรกของปี 2560 และจะต้องปิดกิจการลงทุน

ในขณะที่โรงงานถลุงแร่สังกะสีที่จังหวัดระยอง ซึ่งที่ผ่านมาจะรองรับการผลิตแร่สังกะสีจากการนำเข้า แต่เนื่องจากมีต้นทุนสูง ทำให้บริษัทตัดสินใจที่จะยุติการถลุงแร่ในส่วนนี้ลง และจะปิดกิจการภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจากการดำเนินงานดังกล่าวจึงเท่ากับว่าบริษัทจะต้องปิดกิจการเหมืองและโรงงานถลุงแร่สังกะสีอย่างเต็มรูปแบบ หลังจากที่ได้ดำเนินงานมากว่า 35 ปี ซึ่งหลังจากนี้ไปบริษัทจะดำเนินการส่งมอบพื้นที่เหมืองคืนให้กับกรมป่าไม้ หลังจากที่ทำการฟื้นฟูสภาพเหมืองตลอดระยะเวลาที่ทำเหมืองมาในเดือนตุลาคม 2559 นี้ ด้วยงบประมาณกว่า 112 ล้านบาทในพื้นที่ 1,040 ไร่

ทั้งนี้ จากการยุติทำเหมืองแร่และปิดโรงถลุงแร่ดังกล่าว ทำให้บริษัทต้องทยอยปลดพนักงานจากที่มีอยู่เมื่อต้นปี 850 คน ลงเหลือ 750 คนในช่วงไตรมาส3 ปีนี้ และจะทยอยปลดพนักงานเหลือเพียง 100 คนเมื่อสิ้นสุดปี 2560 โดยจะใช้เงินชดเชยให้กับพนักงานตามกฎหมายรวมวงเงินกว่า 400 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัทจะไม่มีการผลิตแร่และสังกะสีแล้ว ซึ่งแต่เดิมบริษัทจะยุติการทำธุรกิจสังกะสี โดยได้แจ้งให้ลูกค้าไปแล้ว แต่ได้รับเสียงตอบรับว่าควรจะดำเนินการในธุรกิจนี้อยู่ บริษัท จึงตัดสินใจที่จะหันไปนำเข้าสังกะสีป้อนให้กับลูกค้าแทน โดยมีเป้าหมายนำเข้า 5 หมื่นตันต่อปี เพื่อรองรับความต้องการใช้ในประเทศที่มีอยู่ประมาณ 1.5 แสนตัน จากปัจจุบันบริษัทจะผลิตสังกะสีได้ประมาณ 7 หมื่นตันต่อปี ซึ่งการนำเข้ามาและขายไปอาจจะทำรายได้ไม่ดีเท่ากับการที่ผลิตเอง แต่ถือว่าเป็นการสร้างรายได้ให้กับบริษัทส่วนหนึ่งและเป็นการรักษาฐานลูกค้าเอาไว้

นายฟรานซิส กล่าวอีกว่า สำหรับการดำเนินงานหลังจากนี้ไป บริษัท จะรุกเข้าสู่ธุรกิจพลังงานทดแทนและการกำจัดกากอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้น โดยมีแผนในช่วง 5 ปี( 2559-2563) อาจจะต้องใช้เงินในการพัฒนาโครงการไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเป็นเงินลงทุนของบริษัทเองในสัดส่วน 20-40 % และเงินกู้ 60-80 % ขึ้นอยู่กับแต่ละโครงการ โดยในช่วง 3 ปี (2559-2561) บริษัท จะต้องใช้เงินทุนเพื่อพัฒนาผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์หรือโซลาร์ฟาร์ม ที่ประเทศญี่ปุ่นราว 5,100 ล้านบาท เพื่อผลิตไฟฟ้าขนาด35 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโครงการที่พร้อมก่อสร้างแล้ว 13 เมกะวัตต์ เงินลงทุน 1,900 ล้านบาท ใน 4 โครงการ ซึ่งจะทยอยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไปจนถึงกลางปี 2560

ส่วนอีก 22 เมกะวัตต์ จำนวน 2 โครงการ ใช้เงินพัฒนาอีก 3,200 ล้านบาท อยู่ระหว่างการพัฒนา ที่ขณะนี้ติดปัญหาการเจรจาเช่าพื้นที่ก่อสร้าง โดยมีเป้าหมายที่จะพัฒนาให้แล้วเสร็จและจ่ายไฟฟ้าได้ในต้นปี2560 และปลายปี 2561 ในขณะที่การลงทุนในประเทศบริษัทเตรียมความพร้อมที่จะลงทุนโซลาร์ฟาร์มขนาด 50 เมกะวัตต์ ในพื้นที่โรงงานถลุงแร่ที่ จังหวัดตาก หากกระทรวงพลังงานเปิดรับซื้อไฟฟ้า จะใช้เงินลงทุนในส่วนนี้ราว 2,500 ล้านบาท

นอกจากนี้ ในส่วนของโรงงานถลุงแร่ที่จังหวัดระยอง จะใช้พื้นที่เดิมของโรงงานและเครื่องจักรบางส่วนตั้งเป็นโรงงานรีไซเคิล เพื่อสกัดโลหะหลากหลายชนิด ที่จะใช้เงินลงทุนราว 1,500 ล้านบาท ที่คาดว่าจะเริ่มลงทุนได้ในปีหน้าและเปิดดำเนินการได้ในปี 2561 ซึ่งในระยะแรกจะเป็นการสกัดสังกะสีที่ปนมากับฝุ่นเหล็กก่อน และระยะต่อไปจะสกัดเงินและทองที่ปนมากับอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้กับในรถยนต์ เป็นต้น

อีกทั้ง จะใช้พื้นที่ของโรงงานถลุงแร่ที่อำเภอเมือง จังหวัดตาก จัดตั้งเป็นนิคมอุตสาหกรรม เพื่อรองรับการกำจัดกากอุตสาหกรรมในภาคเหนือและกลางตอนบน ซึ่งระยะแรกจะลงทุนราว 300 ล้านบาทก่อน เพื่อพัฒนาเป็นพื้นที่ฝังกลบกากฯก่อน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษารายงานผลิตกระทบสิ่งแวดล้อมหรืออีไอเอ หากไม่ติดปัญหาอะไรคาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ประมาณต้นปี 2562 และระยะต่อไปเมื่อมีปริมาณกากอุตสาหกรรมเพียงพอ จะมีการลงทุนสร้างเตาเผาเพื่อผลิตไฟฟ้าต่อไป ซึ่งยังไม่ได้คำนวณการลงทุนในส่วนนี้ไว้ แต่หากผลิตไฟฟ้าขนาด 10 เมกะวัตต์ คงใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาทขึ้นไป

ส่วนผลการดำเนินงานช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้ 2,510 ล้านบาท มีกำไร 131 ล้านบาท จากปริมาณการขายสังกะสีที่ 3.5 หมื่นตัน

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,191 วันที่ 11 - 14 กันยายน พ.ศ. 2559