ขยายเวลา'ลดหย่อนภาษี 2 เท่า'หนุนบริจาคด้านสาธารณสุข

25 ม.ค. 2566 | 02:45 น.
อัปเดตล่าสุด :25 ม.ค. 2566 | 02:46 น.

ครม.ขยายเวลา"ลดหย่อนภาษี 2 เท่า" เมื่อบริจาค 13 มูลนิธิด้านสาธารณสุข ผ่านระบบ e-Donation อีก 2 ปี จนถึงสิ้นปี 67

 

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึง ผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2566 ว่า ครม.ได้อนุมัติร่างกฎหมายขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคด้านสาธารณสุข โดยออกเป็นร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้

สาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลายกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่บริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่หน่วยรับบริจาคด้านสาธารณสุข รวม 13 แห่ง (จากหน่วยรับบริจาคเดิม 10 แห่ง) เป็นระยะเวลา 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 โดยบริจาคผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ของกรมสรรพากร มีรายละเอียด ดังนี้

 

1.หน่วยรับบริจาคทั้ง 13 แห่ง ประกอบด้วย หน่วยรับบริจาคเดิม 10 แห่ง ได้แก่

  • 1) สภากาชาดไทย
  • 2) มูลนิธิภัทรมหาราชานุสรณ์ฯ
  • 3) ศิริราชมูลนิธิ
  • 4) มูลนิธิจุฬาภรณ์
  • 5) มูลนิธิโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าฯ
  • 6) มูลนิธิโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อนฯ
  • 7) มูลนิธิโรคมะเร็งโรงพยาบาลศิริราช
  • 8) มูลนิธิโรงพยาบาลราชวิถี
  • 9) มูลนิธิสมเด็จพระปิ่นเกล้า
  • 10) มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ

นอกจากนี้ได้เพิ่มเติมหน่วยรับบริจาคใหม่ 3 แห่ง ได้แก่

  • 1) มูลนิธิโรงพยาบาลสวนดอก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • 2) มูลนิธิสนับสนุนสถาบันประสาทวิทยา
  • 3) มูลนิธิโรงพยาบาลเด็ก

2.การยกเว้นภาษีเงินได้ แบ่งเป็น 1) บุคคลธรรมดา ให้ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนเป็นจำนวน 2 เท่าของจำนวนเงินที่บริจาค 2) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลให้ยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินได้เป็นจำนวน 2 เท่า ของรายจ่ายที่บริจาคไม่ว่าจะได้จ่ายเป็นเงินหรือทรัพย์สิน
 

3.บุคคลธรรมดาหรือบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการโอนทรัพย์สิน หรือการขายสินค้า หรือสำหรับการกระทำตราสารอันเนื่องมาจากการบริจาคให้แก่หน่วยรับบริจาคทั้ง 13 แห่ง

"มาตรการทางภาษีนี้ จะทำให้รายได้จากการจัดเก็บภาษีลดลงปีละประมาณ 370 ล้านบาท แต่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการเปิดโอกาสให้ประประชาชนและภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบบริการด้านสาธารณสุขของประเทศ" นางสาวรัชดา กล่าว