ความสำเร็จของบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)หรือ SIRI จากผลดำเนินงานในปี 2565 โดยมียอดขาย 50,000 ล้านบาท เติบโต 49% จากปีก่อนและทำกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์รอบ 38 ปี ถึง 4,280 ล้านบาท หรือเติบโต112% จากรายได้รวม 34,983 ล้านบาท
สำหรับแผนธุรกิจปี 2566 "แสนสิริ" ประกาศจะเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ 52 โครงการ มูลค่ารวม 7.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 30 โครงการ และคอนโดมิเนียม 22 โครงการ ตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 5.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 5,000 ล้านบาท หรือเติบโต10% และเป้าหมายรายได้รวมที่ 4 หมื่นล้านบาท
นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ (SIRI) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ"ว่า โครงการฯ ที่จะเปิดตัวใหม่ 7.5 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะใช้งบลงทุนปีนี้ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท โดยเป็นงบก่อสร้าง 2 หมื่นล้านบาท และงบซื้อที่ดินอีกประมาณ 1 หมื่นล้านบาท
ส่วนแผนระดมทุนเพื่อรองรับการลงทุนในปีนี้ สัดส่วนยังมาจากหุ้นกู้ 60% โดยมีแผนจะออกทั้งปี 1.2 - 1.4 หมื่นล้านบาท โดยช่วงต้นปี ( 25 - 27 ม.ค.2566 ) ออกไปแล้วมูลค่า 6,000 ล้านบาท และปลายปีนี้คาดจะออกอีกประมาณ 6,000 - 8,000 ล้านบาท จำนวนนี้เป็นการรองรับหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดปีนี้ 1 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้หุ้นกู้ของบริษัท ฯ ได้รับการจัดอันดับเครดิตจากบริษัททริสเรทติ้ง ที่ "BBB+"
ส่วนที่เหลืออีก 30% มาจากโปรเจกต์ไฟแนนซ์ ( Project Finance ) หรือสินเชื่อโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ จากสถาบันการเงิน และ 10% มาจากสภาพคล่องรายได้จากการขาย โดยบริษัทฯยังคงรักษาระดับหนี้ สัดส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ( D/E) ไม่ให้เกิน 2.5 เท่า ซึ่ง ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2565 อยู่ที่ 1.89 เท่า
"ปัจจุบันต้นทุนโดยเฉลี่ย ทั้งการออกหุ้นกู้หรือสินเชื่อจากแบงก์อยู่ที่ 3% ปลาย ๆ แต่การออกหุ้นกู้มีข้อดีกว่า คือเป็นแหล่งเงินระยะยาว 3- 4 ปี ทำให้สามารถบริหารต้นทุนการเงินได้ดีกว่า รวมทั้งวัตถุประสงค์การใช้เงินยังหลากหลายเช่นระดมทุนเพื่อการลงทุน ชำระหนี้ หรือเป็นเงินทุนหมุนเวียน แตกต่างกับสินเชื่อจากสถาบันการเงิน การอนุมัติวงเงินจะขึ้นกับความคืบหน้าของการก่อสร้าง การซื้อที่ดิน และหากเศรษฐกิจไม่ดี อาจมีข้อจำกัด " นายอุทัย กล่าว.