ความพยายามในการแก้ไขปัญหาของ ธนาคารเครดิตสวิส ยังคงเป็นที่จับตา โดยเฉพาะการเจรจา เทคโอเวอร์เครดิตสวิส โดยธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง ยูบีเอส หรือ ยูเนียน แบงก์ ออฟ สวิตเซอร์แลนด์ ที่เกิดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และใช้เวลายาวนานถึง 11 ชั่วโมง สุดท้ายยูบีเอสประกาศเมื่อวันอาทิตย์ (19 มี.ค.) ว่า ยูบีเอสตกลงที่จะซื้อกิจการธนาคารเครดิตสวิส (เทคโอเวอร์) ด้วยมูลค่า 3,000 ล้านฟรังก์สวิส หรือราว 3,230 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (กว่า 110,987.5 ล้านบาท) เพื่อช่วยยุติความตื่นตระหนกในตลาดการเงิน-การธนาคารที่เริ่มมาจากการล้มละลายของธนาคารหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา
การเทคโอเวอร์ครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนโดยหน่วยงานกำกับดูแลการเงินของภาครัฐ โดยธนาคารกลางแห่งสวิตเซอร์แลนด์ออกแถลงการณ์วานนี้ว่า ยูบีเอสได้ประกาศแผนการเทคโอเวอร์ธนาคารเครดิตสวิสออกมาแล้ว และความเคลื่อนไหวนี้จะช่วยสร้างสเถียรภาพทางการเงินและช่วยปกป้องเศรษฐกิจของสวิตเซอร์แลนด์โดยรวมด้วย
ทั้งนี้ สำนักข่าว CNN รายงานว่า ราคาที่ยูบีเอสตกลงจะจ่าย 3,000 ล้านฟรังก์สวิส หรือราว 3,230 ล้านดอลลาร์นั้น เป็นราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าตลาดของหุ้นเครดิตสวิส (ที่ปิดตลาดเมื่อวันศุกร์) ถึง 60% หรือกล่าวง่ายๆก็คือ ผู้ถือหุ้นเดิมของเครดิตสวิสจะได้รับเงินจากยูบีเอสเพียงหุ้นละ 0.76 ฟรังก์สวิส จากเดิมที่เคยมีราคา 1.86 ฟรังก์สวิสเมื่อวันศุกร์ (17 มี.ค.)
นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นของเครดิตสวิสจะถูกระงับสิทธิ์ในการลงคะแนนเสียงเกี่ยวกับข้อตกลงที่เกิดขึ้นแล้ว พวกเขาจะได้รับหุ้นของยูบีเอส 1 หุ้นต่อทุกๆ หุ้นของเครดิตสวิส 22.48 หุ้นที่พวกเขาถือครอง ซึ่งมีการประเมินมูลค่าของธนาคารไว้ที่ 3,150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
คาดว่ากระบวนการเทคโอเวอร์จะแล้วเสร็จในช่วงปลายปีนี้
การเทคโอเวอร์กิจการครั้งนี้ยังมีความพิเศษ ในแง่ที่การตัดสินใจดังกล่าวไม่ต้องการการลงมติเห็นชอบของผู้ถือหุ้น เนื่องจากรัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ได้ยอมปรับแก้กฎหมายเพื่อเอื้อให้การเจรจาครั้งนี้ลุล่วงได้อย่างราบรื่นด้วยดี
ก่อนหน้านี้มีข่าวจากแหล่งข่าวหลายคนที่เกี่ยวข้องกับการเจรจาว่า ยูบีเอส ซึ่งเป็นสถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ ได้กำหนดเงื่อนไขให้รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ร่วมรับผิดชอบเป็นวงเงิน 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 204,456 ล้านบาท) ในรูปเงินค้ำประกัน เพื่อเป็น "หลักประกัน" ในการเทคโอเวอร์ครั้งนี้ และหวังใช้เป็นค่าใช้จ่ายการปิดบัญชี-ค่าธรรมเนียมฟ้องร้องและการเลิกจ้างพนักงานกว่า 10,000 ตำแหน่ง
ทั้งนี้ ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ (เอสเอ็นบี) และสำนักงานตรวจสอบทางการเงินแห่งชาติของสวิตเซอร์แลนด์ (ฟินมา) ต้องการคลี่คลายสถานการณ์ของเครดิตสวิสให้เสร็จสิ้นเร็วที่สุดและยืนกรานว่า การให้ยูบีเอสเทคโอเวอร์กิจการของเครดิตสวิส "คือหนทางดีที่สุดหนทางเดียวในเวลานี้"
อย่างไรก็ตาม การหารือยังคงเต็มไปด้วย "อุปสรรคหลายประการ" รวมถึง "ความเป็นไปได้" ว่าหากธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์สองแห่งควบรวมกิจการกัน อาจนำไปสู่การต้องเลิกจ้างพนักงานราว 10,000 ตำแหน่ง
อนึ่ง ยูบีเอสเรียกร้องหลักประกันและมาตรการสนับสนุนฉุกเฉินจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของสวิตเซอร์แลนด์ เนื่องจากกฎหมายการเงินของสวิตเซอร์แลนด์ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ระบุว่า ยูบีเอสต้องให้เวลาผู้ถือหุ้นทั้งหมดหารือเป็นการภายในนาน ถึง 6 สัปดาห์ ซึ่งเมื่อประเมินกับความเร่งรีบของการแก้ไขสถานการณ์ ถือว่า "ช้าเกินไป" ในการรักษาเครดิตสวิส ที่ขอกู้ยืมจากเอสเอ็นบี มากถึง 50,000 ล้านฟรังก์ สวิส (ราว 1.8 ล้านล้านบาท) เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังซาอุดี เนชันแนล แบงก์ สถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่สุดของซาอุดีอาระเบียและเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของเครดิตสวิส ยืนกรานปฏิเสธเพิ่มสัดส่วนการลงทุนให้มากกว่า 10%
ประเด็นใหญ่ระดับชาติ
นายอเลน แบร์เซ็ต ประธานาธิบดีสวิตเซอร์แลนด์ กล่าวว่า ข้อตกลงเทคโอเวอร์กิจการธนาคารเครดิตสวิสเป็นหนึ่งในขอบเขตที่ยิ่งใหญ่สำหรับเสถียรภาพทางด้านการเงินระหว่างประเทศ การล่มสลายของเครดิตสวิสที่ไม่สามารถควบคุมได้จะนำไปสู่ผลกระทบที่ไม่อาจจะคาดเดาได้ ทั้งต่อประเทศสวิตเซอร์แลนด์รวมถึงระบบการเงินระหว่างประเทศ
สภาแห่งสหพันธรัฐสวิสซึ่งมีสมาชิก 7 คน รวมถึงประธานาธิบดีแบร์เซ็ต ได้ผ่าน "กฎหมายฉุกเฉิน"ที่อนุญาตให้การควบรวมกิจการดำเนินไปได้โดยไม่ต้องผ่านการอนุมัติจากผู้ถือหุ้น
ประธานเครดิตสวิสระบุว่า ข้อตกลงนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ชัดเจน ถือเป็นวันแห่งประวัติศาสตร์ที่น่าเศร้าและท้าทายมาก ทั้งสำหรับเครดิตสวิสและสำหรับสวิตเซอร์แลนด์ รวมถึงตลาดการเงินทั่วโลก ขณะนี้จุดสนใจของเขาอยู่ที่อนาคตโดยเฉพาะอย่างยิ่งพนักงานของเครดิตสวิส 50,000 คนซึ่งในจำนวนนี้ 17,000 คนอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์
ขณะที่ประธานยูบีเอสยกย่องโอกาสมหาศาลที่จะเกิดขึ้นจากการเทคโอเวอร์ดังกล่าว และเน้นย้ำถึงวัฒนธรรมความเสี่ยงแบบอนุรักษ์นิยมของยูบีเอส ซึ่งถือเป็นการกวาดล้างวัฒนธรรมของเครดิตสวิสที่เป็นที่รู้จักในเรื่องของการเก็งกำไรให้มากขึ้นและการพนันเชิงรุกเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น การผนวกิจการครั้งนี้จะทำให้ธนาคารถือครองความมั่งคั่งของสินทรัพย์ในการลงทุนรวมกันกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
นางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยกย่องการดำเนินการที่รวดเร็วของเจ้าหน้าที่สวิส ว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการฟื้นฟูสภาพตลาดที่เป็นระเบียบเรียบร้อยและสร้างหลักประกันเสถียรภาพทางการเงิน พร้อมกับย้ำว่าธนาคารอยู่ในสถานะที่แตกต่างเมื่อครั้งเกิดวิกฤตการเงินในปี 2551 อย่างสิ้นเชิง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกฎระเบียบของรัฐบาลที่เข้มงวดขึ้น
เจ้าหน้าที่ของยูบีเอสระบุว่า พวกเขาวางแผนจะขายบางส่วนหรือลดขนาดของธนาคารเครดิตสวิสในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยรัฐบาลสวิสได้มอบเงินช่วยเหลือกว่า 100,000 ล้านฟรังก์สวิส และจะช่วยสนับสนุนทางการเงินเพื่อให้ข้อตกลงดำเนินไปได้ด้วยดี
ข้อมูลอ้างอิง