กรมบัญชีกลางเผยยอดเบิกจ่ายงบประมาณ ปี 66 ทะลุ 1.69 ล้านล้าน

06 เม.ย. 2566 | 02:58 น.
อัปเดตล่าสุด :06 เม.ย. 2566 | 03:57 น.

กรมบัญชีกลางเผยผลการเบิกจ่ายงบประมาณ ไตรมาส 2 ของปีงบ 66 ชี้เบิกจ่ายแล้วกว่า 1.69 ล้านล้านบาท วางเป้าทั้งปีเบิกจ่ายไม่น้อยกว่า 93% พร้อมตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเร่งรัด

นางสาวกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้ติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ของส่วนราชการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ไตรมาสที่ 2 (ต.ค. 65 - มี.ค. 66) ภาพรวมเบิกจ่ายแล้ว 1,691,980 ล้านบาท คิดเป็น 53.12% ของวงเงินงบประมาณ 3,185,000 ล้านบาท

นางสาวกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมบัญชีกลาง

ทั้งนี้ จำแนกเป็น รายจ่ายประจำเบิกจ่ายแล้ว 1,459,291 ล้านบาท คิดเป็น 57.88% ของวงเงินงบประมาณ 2,521,215 ล้านบาท รายจ่ายลงทุนเบิกจ่ายแล้ว 232,689 ล้านบาท คิดเป็น 35.05% มีการใช้จ่ายหรือก่อหนี้แล้ว จำนวน 398,695 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 60.06 ของวงเงินงบประมาณ 663,785 ล้านบาท

สำหรับเงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีเบิกจ่ายแล้ว 103,443 ล้านบาท คิดเป็น 54.34% ของวงเงินงบประมาณ 190,348 ล้านบาท

ผลการเบิกจ่ายงบประมาณ ไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ 2566

โดยกรมบัญชีกลาง มีคณะทำงานเฉพาะกิจในการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ในส่วนกลาง และสำนักงานคลังจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด

ทั้งนี้ เพื่อเร่งรัดและสนับสนุนการดำเนินงาน พร้อมทั้งให้คำแนะนำหน่วยรับงบประมาณทุกแห่ง ให้สามารถดำเนินการเบิกจ่ายได้ตามแผนการใช้จ่ายเงิน ซึ่งในปีนี้คณะรัฐมนตรีกำหนดเป้าหมายการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ได้แก่

  • ในภาพรวมไม่น้อยกว่า ร้อยละ 93
  • การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำไม่น้อยกว่า ร้อยละ 98
  • การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่า ร้อยละ 75
  • การใช้จ่ายงบประมาณ (การก่อหนี้) รายจ่ายภาพรวม รายจ่ายประจำ และรายจ่ายลงทุน ร้อยละ 100

“ขณะนี้คณะทำงานเฉพาะกิจในการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายเงิน ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ได้กำกับดูแลเร่งรัดการดำเนินการและการเบิกจ่ายของหน่วยรับงบประมาณที่อยู่ในความรับผิดชอบอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การเบิกจ่ายและการใช้จ่ายเงินงบประมาณ รวมถึงการใช้จ่ายภาครัฐอื่น เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ”