นายไพศาล หงษ์ทอง ผู้ช่วยผู้จัดการและโฆษกธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ปีบัญชี 2566 (1 เม.ย.2566 - 31 มี.ค.2567) ธ.ก.ส.วางเป้าหมายสินเชื่อเติบโตเพิ่มขึ้นมากกว่า 35,000 ล้านบาท จากปีบัญชี 2565( 1 เม.ย.2565- 31 มี.ค. 2566) ธ.ก.ส. ได้สนับสนุนสินเชื่อเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคชนบทระหว่างปีถึง 878,338 ล้านบาท ทำให้มียอดสินเชื่อสะสมทั้งสิ้น 1,636,778 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากต้นปีบัญชี 30,509 ล้านบาทหรือ 1.90% และเงินฝากตั้งเป้าเติบโตเพิ่มขึ้นมากกว่า 12,000 ล้านบาท จากยอดเงินฝากสะสม 1,829,549 ล้านบาท
สื้นปีบัญชี 2565 ธ.ก.ส.มีสินทรัพย์รวม 2,262,121 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.15% หนี้สินรวม 2,109,120 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.08%และส่วนของเจ้าของ 153,001 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.15% และมีกำไรสุทธิ 7,989 ล้านบาท ด้านอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์เฉลี่ย(ROA) อยู่ที่ 0.36% อัตราตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) อยู่ที่ 5.38% ขณะที่สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) อยู่ที่ 7.68% ต่อสินเชื่อรวมและตั้งเป้าปีบัญชี 2566 จะดูแลให้อยู่ที่ระดับต่ำกว่า 6.70%
นายไพศาล กล่าวเพิ่มเติมว่า ธ.ก.ส.ในฐานะที่เป็นกลไกในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล โดยปีบัญชี 2565 ได้ดำเนินมาตรการและโครงการสำคัญๆ ได้แก่ มาตรการรักษาเสถียรภาพด้านราคาสินค้าเกษตร ผ่านโครงการต่างๆคือ
นอกจากนี้ธ.ก.ส. ยังได้ดำเนินงานตามนโยบายกระทรวงการคลังในการเป็นหน่วยงานรับลงทะเบียนของโครงการสวัสดิการแห่งรัฐ โดยจัดเตรียมอัตรากำลัง เครื่องมืออุปกรณ์และสถานที่ ผ่านการตั้งจุดลงทะเบียนที่สาขา ธ.ก.ส. กว่า 1,200 สาขาทั่วประเทศ รวมถึงประสานหน่วยงานในพื้นที่ เช่น อบต. กำนันและผู้ใหญ่บ้าน กำหนดจุดให้บริการนอกสถานที่ เพื่อลดภาระการเดินทางและอำนวยความสะดวกให้กับผู้ลงทะเบียนในการเข้าร่วมโครงการพร้อมกับ การลงทะเบียนยืนยันตัวตน (E-KYC) โดยมีผู้มาลงทะเบียนกับ ธ.ก.ส. ทั้งสิ้นกว่า 6 ล้านคน
ด้านความยั่งยืน ธ.ก.ส. ได้ขับเคลื่อนกิจกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในการเข้าไปดูแลชุมชนตามหลัก BCG Model ได้แก่
นอกจากนั้นยังมีโครงการลดการเผาวัสดุทางการเกษตรในพื้นที่การปลูกข้าวและอ้อยเพื่อลดค่า PM 2.5 สนับสนุนการนำฟางข้าวและใบอ้อยมาใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยลดของเสียจากเศษวัสดุการเกษตรให้เป็นศูนย์ (Zero waste) และเพิ่มมูลค่าให้กับวัสดุการเกษตร ซึ่งมีเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเข้าร่วมโครงการ คิดเป็นพื้นที่ทำนารวม 25,850 ไร่ และเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยเข้าร่วมโครงการ คิดเป็นพื้นที่ปลูกอ้อย รวม 397,198 ไร่
โครงการดังกล่าวสามารถสร้างรายได้หมุนเวียนเพิ่มให้กับเกษตรกรกว่า 420 ล้านบาท จากการบริหารจัดการวัสดุเหลือใช้ นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ยังพร้อมสนับสนุนภาคเกษตรกรรมในการผลิตอาหารปลอดภัย (Food Safety) ผ่านการส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์ และการใช้พลังงานทางเลือกหรือพลังงานสะอาด รวมถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติผ่านสินเชื่อ Green Credit และสินเชื่อรักษ์ป่าไม้ไทยยั่งยืนอีกด้วย
สำหรับปีบัญชี 2566 ธ.ก.ส.ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนอย่างยั่งยืน โดยส่งเสริมการพัฒนาอาชีพ สร้างวินัยทางการเงินและการออมเงิน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สนับสนุนการแปรรูปและอุตสาหกรรมการเกษตร เน้นการเชื่อมโยงกับเครือข่ายด้านการเกษตรตลอดห่วงโซ่คุณค่า ขับเคลื่อนนวัตกรรมการเกษตรไปสู่เกษตรมูลค่าสูง เพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิตและสร้างรายได้ที่มั่นคงยั่งยืนให้กับเกษตรกร
นอกจากนั้นยังจะมีการสร้างแพลตฟอร์มในการให้บริการแบบครบวงจร ตอบโจทย์ความต้องการในยุคดิจิทัล ทั้งการวิเคราะห์ข้อมูลด้านการผลิต การเชื่อมโยงห่วงโซ่ธุรกิจภาคการเกษตร ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เพื่อให้เกษตรกรสามารถวางแผนการผลิตและสามารถจำหน่ายสินค้าเกษตร ได้ตรงกับความต้องการตลาดอย่างแท้จริง
ด้านการยกระดับชุมชนสู่ความยั่งยืน ธ.ก.ส. มุ่งเน้นการพัฒนาระบบเศรษฐกิจฐานรากภายใต้ BCG Model ได้แก่
นายไพศาล กล่าวอีกว่า ธ.ก.ส. มุ่งมั่นในดำเนินการตามพันธกิจในการเป็นธนาคารพัฒนาชนบทที่ยั่งยืน และพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับความสำเร็จให้กับเกษตรกรสู่อนาคตที่ดีกว่าอย่างยั่งยืน โดยก้าวเดินและเติบโตไปพร้อม ๆ กับธนาคาร ดั่งปณิธานของ ธ.ก.ส. ที่มุ่งมั่นในการสร้าง Better Life , Better Community , Better Pride เพื่อยกระดับชีวิตเกษตรกรไทยสู่สังคมที่ภาคภูมิ