นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) กล่าวในงานสัมนา “EXIM Thailand and NEXI Collaboration: A New Chapter Begins” ร่วมกับองค์กรรับประกันแห่งประเทศญี่ปุ่น (Nippon Export and Investment Insurance : NEXI) ว่า จากการคาดการณ์ขององค์กรรับประกันชั้นนำของโลก พบว่า โควิดและสงครามในรัสเซียกับยูเครน ได้ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจทำให้ธุรกิจล้มละลายเพิ่มสูงขึ้น 14% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
โดยผู้ประกอบธุรกิจการค้าระหว่างประเทศโดยเฉพาะเอสเอ็มอี ซึ่งมีอำนาจต่อรองต่ำและเงินทุนหมุนเวียนไม่มากนักจึงควรต้องบริหารความเสี่ยงจากการไม่ได้รับชำระค่าสินค้า ด้วยการกระจายตลาดไปยังตลาดที่ยังเติบโตหรือมีกำลังซื้อสูง เช่น ตลาดในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เอเชียใต้ เป็นต้น รวมทั้งการใช้เครื่องมือประกันการส่งออกในการบริหารจัดการความเสี่ยงดังกล่าว
ทั้งนี้ EXIM BANK ได้ดำเนินธุรกิจให้บริการประกันการส่งออกตั้งแต่เปิดดำเนินงานอย่างเป็นทางการในปี 2537 มีปริมาณธุรกิจรับประกันการส่งออกสะสมจำนวน 1.82 ล้านล้านบาท ยอดจ่ายค่าสินไหมทดแทนจำนวนรวมประมาณ 1,400 ล้านบาท
โดย 76% เกิดจากกรณีผู้ซื้อในต่างประเทศปฏิเสธการชำระเงินค่าสินค้า รองลงมาประมาณ 23% เกิดจากผู้ซื้อล้มละลาย และอีก 1% เกิดจากผู้ซื้อปฏิเสธการรับมอบสินค้า
ส่วนประเทศที่มีมูลค่ายื่นขอรับสินไหมทดแทนสูงสุด ได้แก่
ด้านสินค้าที่มีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนสูงสุด ได้แก่ ข้าว อัญมณีและเครื่องประดับ และอะลูมิเนียม
นายรักษ์ กล่าวอีกว่า ก้าวใหม่ความร่วมมือระหว่าง EXIM BANK และ NEXI ในโลกการค้ายุคใหม่มุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนข้อมูลและความร่วมมือในการพัฒนาเครื่องมือทางการเงิน ทั้งบริการประกันการส่งออกและการลงทุน และการรับประกันต่อ เพื่อคุ้มครองความเสี่ยงทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศให้แก่ผู้ประกอบการไทยและญี่ปุ่น ขยายผลสู่การขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศในภูมิภาคเอเชียร่วมกัน