นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวภายในรายการ ‘THAN Talk Online’ ออกอากาศทางยูทูบ ‘ฐานเศรษฐกิจ’ ว่า จากกรณีที่มีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ เป็นรัฐบาล ‘แพทองธาร’ ล่าสุดนั้น เป็นการเปลี่ยนโควต้าเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่ยังคงเป็น ครม. หน้าเดิม โดยเฉพาะกระทรวงการคลัง จึงเชื่อว่า การดำเนินนโยบายน่าจะมีความต่อเนื่อง ส่งผลโดยตรงต่อตลาดหุ้นไทยคึกคักขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
ในส่วนกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ประเภท ก. วงเงิน 1-1.5 แสนล้านบาท ที่จะเปิดให้นักลงทุนที่เป็นประชาชนรายย่อยจองซื้อในช่วงวันที่ 16-20 ก.ย.นี้ ส่วนนักลงทุนสถาบันจะเปิดให้จองซื้อในช่วงวันที่ 18-20 ก.ย. และจะซื้อขายหน่วยลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ไม่เกินวันที่ 10 ต.ค. นี้ มองว่า ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกที่เข้ามาประกอบกับการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้ตลาดตอบสนองอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังมีกองทุน TESG และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่จะออกมา ไปจนถึงการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ
ส่วนปัจจัยภายนอกประเทศนั้น มองว่า อาจจะเกิดการโยกย้ายเม็ดเงินลงทุนไหลออกจากสหรัฐฯ หลังเศรษฐกิจชะลอตัวแต่ยังไม่ถึงขั้นถดุอย ทำให้ตลาดทุนมีการเปลี่ยนแปลง นักลงทุนอาจจะวางเงินไว้ในจุดที่มีผลตอบแทนคุ้มค่ากับความเสี่ยงมากขึ้น ขณะที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็เป็นสถานการณ์ที่ต้องจับตาเช่นกัน อาจจะเห็นเม็ดเงินลดลงในกลุ่มเทคโนโลยี ไปยังสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยมากขึ้น
ทั้งนี้ มองว่า เม็ดเงินการลงทุนบางส่วนมีโอกาสที่ไหลเข้าสู่ไทย เนื่องด้วยสถานการณ์การเมืองที่คลี่คลายลง พร้อมกับสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในช่วงนี้
“หุ้นไทยเราก็มีความแข็งแกร่งในกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะโรงไฟฟ้า และมีอีกหลายส่วนที่ผลตอบแทนค่อนข้างดี ขณะเดียวกัน ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา กำไรบริษัทจดทะเบียนในไทยส่งสัญญาณฟื้นตัว ทั้งกลุ่มการสื่อสาร ค้าปลีก อาหาร ผลประกอบการขาขึ้นหลายแห่ง”
ในช่วงนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า หลายฝ่ายจับจ้องมาที่ การออกกองทุนรวมวายุภักษ์ในช่วงเดือนตุลาคมนี้ ที่ทำให้ตลาดตอบสนองในช่วงที่ผ่านมานั้น จะเป็นการฟื้นตัวในระยะยาวหรือไม่ แต่ส่วนตัวมองว่า การตอบสนองครั้งนี้ อาจจะสูงกว่าที่คาดไว้เล็กน้อย
“กองทุนฯทั่วไปไม่มีใครการันตีผลตอบแทนได้ แต่กองทุนวายุภักษ์ มีการการันตีเงินต้น และผลตอบแทนรายปี น่าแปลกใจว่า รวม ๆ แล้วราว 3-5% บางครั้งผลตอบแทนกับทิศทางการเแลี่ยนแปลงของดัชนีหุ้นไม่ค่อยไปด้วยกัน ดังนั้น กองทุนฯอาจจะไม่แอคทีฟมากเหมือนกับกองทุนรวมอื่น ๆ”
ดังนั้น กองทุนรวมวายุภักษ์ ที่กำลังจะออกมา น่าจะเป็นในลักษณะ Defensive ได้ผลตอบแทนระดับนึง แต่ไม่ได้อัพไซด์ของการเปลี่ยนแปลงมากนัก ส่วนตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมา น่าจะเป็นผลเชิงจิตวิทยาเป็นหลัก ไม่ได้ส่งผลต่อการอัพไซด์ระยะยาว โดยหุ้นที่ได้รับอานิสงส์ น่าจะเป็นกลุ่มพื้นฐานดี มีเครดิตดี และ มี ESG Score ที่ดี เป็นเป้าหมายในการเข้าซื้อ
อย่างไรก็ตาม มองว่า กองทุนรวมวายุภักษ์ที่ออกมา อาจจะมีส่วนช่วยกระทรวงการคลังมากกว่า เพราะเป็นการระดมเงินแสนกว่าล้าน ที่อาจจะเข้าซื้อทั้งสินทรัพย์ในตลาดฯ มีความเป็นไปได้ที่จะเข้าซื้อหุ้นจากกระทรวงการคลังเพื่อปรับพอร์ต และสามารถนำเงินไปดำเนินโครงการต่าง ๆ ของรัฐได้คล่องขึ้น ดังนั้น จึงขอแนะนำนักลงทุนปรับความคาดหวังลงในส่วนนี้
สำหรับสถานการณ์ตลาดทุนไทยในช่วงที่เหลือปี ต้องติดตามปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ชะลอตัวลง ส่วนตลาดทุนไทยยืนยัน มาความน่าสนใจ เพราะกำลังปรับดีขึ้น สะท้อนจากหลายฝ่ายปรับประมาณการณ์เศรษฐกิจขึ้นในช่วงที่เหลือของปี จากมาตรการกระตุ้นที่จะออกมา เช่น ค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท โครงการดิจิทัล วอลเล็ต เป็นต้น