แนวโน้มราคาน้ำมันดิบโลกในปี 2565 แกว่งตัวผันผวนมาก ซึ่งหากได้พิจารณาราคาน้ำมันดิบ Brent จะพบว่า มีการปรับตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกจากระดับ 78 เหรียญต่อบาร์เรล ขึ้นไปทำจุดสูงสุดในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2565 ที่ระดับ 139 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งสูงสุดในรอบ 14 ปี ตอบรับกับสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ยืดเยื้อและรุนแรงมากขึ้น
อีกทั้งประเทศในกลุ่มตะวันตกต่างออกมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียในหลายรูปแบบ ส่งผลให้ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น หนุนผลประกอบการของกลุ่มพลังงานต้นน้ำและกลุ่มโรงกลั่นในช่วง 2Q65 อยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก (ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้น ค่าการกลั่นขึ้นต่อเนื่อง และมีบันทึกกำไรจากสต๊อกน้ำมัน)
ขณะที่ผลประกอบการของกลุ่มปิโตรเคมีในช่วงครึ่งปีแรกอ่อนแอจากส่วนต่างปิโตรเคมีที่แคบลง เนื่องจากต้นทุน Gas และราคาแนฟทา (Naphtha) ที่ปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมัน หากแต่ราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมียังไม่เด่นนัก ถัดมาในช่วง 3Q65 น้ำมันได้มีการย่อตัวลง
ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับฐานลงสู่จุดต่ำสุดบริเวณ 83 เหรียญในช่วงเดือนกันยายนของปี 2565 โดยได้รับปัจจัยกดดันหลักจากความกังวลอุปสงค์น้ำมันดิบโลกที่ชะลอตัว ตามความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลก หลังจากธนาคารกลางทั่วโลกมีการปรับนโยบายดอกเบี้ยขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อในทุกประเทศที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงมากเป็นประวัติการณ์ ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจหลักที่สำคัญของโลก ทั้งสหรัฐฯ, จีน และยุโรปอ่อนแอลง
ช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2565 และต่อเนื่องไปถึง 1Q66 เราคาดว่า แนวโน้มราคาพลังงานจะทรงตัวในระดับสูงในกรอบ 85-100 เหรียญต่อบาร์เรล โดย EIA ได้ออกมาคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบโลกปี 2566 เฉลี่ยที่ 95 เหรียญต่อบาร์เรล และ BofA คาดที่ 100 เหรียญต่อบาร์เรล จากความต้องการพลังงานตามฤดูกาลที่สูงขึ้นจากการเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว
แม้ว่าอุปสงค์จากจีนยังอ่อนแอจากการดำเนินนโยบายที่เข้มงวดด้านการควบคุมโรค แต่ก็เชื่อว่า ผลสุทธิแล้วความต้องการน้ำมันโดยรวมยังคงเป็นบวก ประกอบกับภาวะอุปทาน ณ ปัจจุบันที่ไม่ได้เร่งตัวขึ้นมาก โดยหากพิจารณาจากกำลังการผลิตสำรอง (Spare Capacity) ของกลุ่ม OPEC+ จะเห็นได้ว่า อยู่ในจุดที่จำกัดมากแล้ว
ล่าสุดก็ส่งผลให้ทางด้านกลุ่ม OPEC+ ได้มีมติในการปรับลดกำลังการผลิตของน้ำมันดิบในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2565 มากถึง 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากเดือนตุลาคมที่มีมติลดกำลังผลิตเพียง 1 แสนบาร์เรลต่อวัน ดังนั้น จึงยังประเมินว่าราคาน้ำมันดิบยังสามารถทรงตัวได้
จากแนวโน้มของราคาน้ำมันดิบที่คาดว่ายังทรงตัวสูงได้จนถึงช่วง 1Q65 อาจจะส่งผลบวกต่อการเก็งกำไรในกลุ่มพลังงานต้นน้ำมากขึ้น
ซึ่งเรายังต้องรอความชัดเจนในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน รวมถึงจับตาท่าทีการดำเนินนโยบายต่างๆของรัฐบาลจีน ที่จะเป็นจุดสำคัญที่บ่งชี้ว่า จีนกำลังจะกลับมากระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมอีกครั้งเมื่อไหร่ โดยถ้าเห็นสัญญาณดังกล่าว ถือเป็นจังหวะที่ดีในการกลับเข้าไปสะสมหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีอีกครั้ง
ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้น้ำมันเป็นต้นทุนสำคัญ อาจได้รับผลกระทบบ้าง แต่ก็เชื่อว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ได้ถูกกดดันมากนัก เช่น
จะเห็นได้ว่าในภาพรวมของตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มที่ดี และยังคงมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ โดยเฉพาะในช่วงปี 2566 จากนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าในปี 2566-2567 จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาประมาณ 20 ล้านคน และ 40 ล้านคนตามลำดับ
จากเศรษฐกิจประเทศไทยที่มีความพึ่งพิงกับการท่องเที่ยวค่อนข้างสูง ทำให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลบวกกับตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการเปิดประเทศ เช่น กลุ่มธนาคาร กลุ่มค้าปลีก กลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มขนส่งเป็นต้น