เป็นเวลาเกือบ 6 ปีแล้วที่ ก.ล.ต. นำ “มาตรการลงโทษทางแพ่ง” มาเป็นหนึ่งช่องทางในการบังคับใช้กฎหมาย โดยเริ่มตั้งแต่พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 5) มีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2559 วันนี้จึงขอชวนมาทำความรู้จักและเจาะลึกมาตรการลงโทษทางแพ่งกันอีกนิด
มาตรการลงโทษทางแพ่ง คืออะไร
มาตรการลงโทษทางแพ่งเป็นกระบวนการบังคับใช้กฎหมายช่องทางใหม่ที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2559 และ พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย
ความผิดแบบไหน ใช้มาตรการลงโทษทางแพ่งได้
- พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ (มาตรา 317/1)
- พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัลฯ (มาตรา 96)
การพิจารณาให้ใช้มาตรการลงโทษทางแพ่ง มีกระบวนการขั้นตอนอย่างไร
ก.ล.ต. ในฐานะผู้บังคับใช้กฎหมาย หากพบการกระทำผิดและเห็นควรใช้มาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำผิด ก.ล.ต. จะต้องเสนอให้คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) ซึ่งประกอบด้วย
โดย ค.ม.พ. จะพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้ ว่าสมควรใช้มาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำผิดหรือไม่
มาตรการลงโทษทางแพ่ง มีอะไรบ้าง
ค.ม.พ. สามารถใช้มาตรการลงโทษทางแพ่งให้เหมาะสมแก่ข้อเท็จจริงเป็นรายกรณีได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ให้ครบทั้ง 5 มาตรการในทุกกรณี
ถ้าผู้กระทำความผิดไม่ยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด จะเป็นอย่างไร
ก.ล.ต. มีอำนาจฟ้องต่อศาลแพ่ง เพื่อขอให้ศาลพิจารณากำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งให้จำเลยปฏิบัติ ซึ่งศาลสามารถกำหนดดอกเบี้ยบนเงินชดใช้ผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับจากการกระทำความผิดและเงินชดใช้ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบของ ก.ล.ต. ได้ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระแล้วเสร็จ
ทั้งนี้ การดำเนินคดีและการบังคับคดีในกรณีนี้จะอยู่ภายใต้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
เงินค่าปรับไปไหน
ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด ต้องตกลงทำบันทึกการยินยอม กับ ก.ล.ต. และเมื่อชำระเงินครบถ้วนตามบันทึกการยินยอมแล้ว สิทธิในการดำเนินคดีอาญากับผู้กระทำความผิดนั้นจะสิ้นสุดลง
ส่วนค่าปรับทางแพ่งและเงินชดใช้เท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับจากการกระทำความผิด พร้อมทั้งดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากเงินดังกล่าว ก.ล.ต. นำส่งกระทรวงการคลังเป็นรายได้แผ่นดิน
อ่านข้อมูลการดำเนินมาตรการลงโทษทางแพ่ง (Civil Sanctions) เพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก
ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)