นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส (ASPS) กล่าวถึง คาดการณ์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส4/65 ได้ผ่านจุดที่ถูกแรงกดดันสูงสุดจากปัจจัยภายนอกไปแล้ว เริ่มจาก
1) สงคราม รัสเซีย-ยูเครน ตลาดตอบรับมานานกว่า 7 เดือน หากความเสี่ยงถูกจำกัดเฉพาะในพื้นที่ยูเครนและไม่นำสู่การใช้อาวุธนิวเคลียร์ระหว่างกันผลกระทบมายังตลาดหุ้นจะไม่มาก
2) อัตราเงินเฟ้อหลายประเทศผ่านจุดพีกแล้ว หลังราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ปรับลงใกล้เคียงกับช่วงต้นปี ทำให้แรงกดดันต่อการใช้นโยบายการเงินเชิงรุกของธนาคารกลางต่างๆลดลง ในส่วนของเงินเฟ้อไทย คาดปรับลดลงสู่กรอบ 2% ในกลางปีหน้า
3) การดำเนินนโยบายทางการเงินเชิงรุกใกล้เข้าสู่ช่วงท้าย โดยเฉพาะ Fed ที่ตลาดคาดช่วงที่เหลือของปีจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 1% และปีหน้าอีก 0.25% ก่อนที่จะลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง
4) ทิศทางเศรษฐกิจหลายประเทศที่ชะลอลง โดยสหรัฐฯ เกิดภาวะ Technical Recession ไปแล้ว, เศรษฐกิจ อังกฤษ สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ชะลอลงหลัง GDP ไตรมาส 2 ติดลบ แต่อย่างไรก็ตามการทยอยปรับลดคาดการณ์ของสำนักเศรษฐกิจต่างๆสะท้อนถึงการรับรู้ของตลาดไปในระดับหนึ่ง
ส่วนปัจจัยในประเทศที่ยังอยู่ในโหมดฟื้นตัวตามหลังการเปิดประเทศที่ได้แรงหนุนจากภาคการบริโภคในประเทศ การท่องเที่ยวและการใช้จ่ายภาครัฐที่เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการลงทุนมากกว่าการเยียวยาหลังผ่านช่วง COVID-19
"บล.เอเซียพลัส ประเมินว่าเศรษฐกิจไทย(จีดีพี) ปี 65 จะขยายตัว 3.2% ดังนั้นจึงคาดว่าจีดีพีช่วงครึ่งปีหลังจะขยายตัวถึง 3.6% จากครึ่งปีแรกที่ขยายตัว 2.4% ส่วนประเด็นที่กังวลว่ากลุ่มโอเปกพลัสลดกำลังการผลิต 2 ล้านบาเรล/วัน จะส่งผลต่อราคาน้ำมันโลกปรับขึ้น ASPS คาดราคาน้ำมับดูไบเฉลี่ยปีนี้จะอยู่ที่ 100 เหรียญต่อบาเรล และปีหน้าเฉลี่ยที่ 75 เหรียญตรอบาเรล. เพราะในอดีตกลุ่มโอเปกพลัสก็เคยลดกำลังผลิตมากกว่านี้" นายเทดศักดิ์ กล่าวและว่า
ASPS ประเมินว่าหุ้นไทยไตรมาส4/65 มีโอกาสไฮดัชนีแตะ 1730 จุด และเป็นเป้าหมายดัชนี SET ที่เราคาดการณ์. โดยคำนวณอิงจาก กำไรบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ที่ขยายตัวได้ดี คาด EPS ปี 65 ที่ 96.1 บาท/หุ้น เติบโต 12% yoy และ คาดการณ์ EPS ปี66 ที่ 101.1 บาท/หุ้น เติบโต 5% yoy ขณะที่การดำเนินนโยบายการเงิน ธปท.ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยฯแต่ยังดำเนินแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยเชื่อว่าดอกเบี้ยฯ ณ สิ้นปีที่ 1.25% เทียบกับสหรัฐฯ 4.25%
ส่วนทิศทางค่าเงินบาทในช่วงไตรมาส4 /65 เชื่อว่าจะชะลอการอ่อนค่าจากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่ลดลงตามราคาพลังงานที่ปรับลงซึ่งจะช่วยลดผลกระทบของการขาดดุลการค้า เช่นเดียวกับดุลบริการที่จะดีขึ้นตามตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เริ่มเข้าสู่ High Season ทิศทางเศรษฐกิจในประเทศและผลประกอบการบริษัทฯที่มีแนวโน้มขยายตัวโดดเด่นสวนกระแสโลก
ขณะที่ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Fx Loss) ที่ลดลงจะเป็นปัจจัยดึงดูด Fund Flow ไหลเข้าหนุน SET Index ช่วง ไตรมาส4/65 ขยับขึ้น
กลยุทธ์การลงทุนแนะนำหุ้น Domestic หลีกเลี่ยงความผันผวนจากปัจจัยภายนอก ได้แก่หุ้น ADVANC, ASK, BBL, BEM, CENTEL, HMPRO, GULF
ด้านนายภาดร สุขสวัสดิ์ ฝ่ายที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์การลงทุนและผลิตภัณฑ์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า จากผลกระทบของนโยบายการเงินที่เข้มงวด ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจโลกในไตรมาสที่ 4 เริ่มมีทิศทางที่ชะลอตัวลง ทั้งนี้เชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ระดับสูง จะเป็นสาเหตุหลักที่จะทำให้ธนาคารกลางหลักของโลกยังคงต้องมีท่าทีเข้มงวดทางการเงินอย่างต่อเนื่อง และยังคงเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจและสินทรัพย์เสี่ยงต่อไป
ดังนั้นคำแนะนำการลงทุนในไตรมาส 4 นี้ ควรมองหากลุ่มธุรกิจที่มีกระแสเงินสดสม่ำเสมอ มีการจ่ายปันผลสูง มีความจำเป็นต่อการดำรงชีพ ซึ่งมักปรับตัวลงน้อยหรือปรับขึ้นได้ดีกว่าตลาด ได้แก่ กลุ่ม Healthcare, Consumer Staple และ Telecommunication