งานสัมมนา “ WEALTH FORUM ลงทุนอย่างไรให้รวย #ปี 3 จัดโดย กรุงเทพธุรกิจ และ ฐานเศรษฐกิจ ในหัวข้อ”จัดพอร์ตลงทุน ทำกำไร 2023”
SCB แนะทยอยลงทุน"ตราสารหนี้-หุ้นกู้อนุพันธ์"
นายศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB ) กล่าวว่า ปัจจัยที่จะส่งผลต่อนักลงทุนในปีหน้า ยังไม่พ้นในเรื่อง 1.เงินเฟ้อที่ยังสูงต่อเนื่องซึ่งจะส่งผลให้ดอกเบี้ยเฟดยังมีโอกาสปรับขึ้นถึงไตรมาส1/66 ก่อนจะชะลอลง โดยคาด ธ.ค.ปีนี้ เฟดจะปรับขึ้นอีก 0.50.-0.75% 2.ความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์ความตึงเครียดระหว่างประเทศ และ 3.การหดตัวของเศรษฐกิจโลกซึ่งเป็นผลจากการใช้ยาแรงเศรษฐกิจ
ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนปี 66 ถ้าจะทำกำไร ต้องเป็นพอร์ตที่สามารถสร้างกระแสเงินสดได้ และขณะนี้ดอกเบี้ยขึ้นมาแล้ว 70-80% นั่นหมายความถ้านักลงทุนเริ่มสะสมตราสารหนี้ จะได้ต้นทุนที่ไม่แพง ขณะที่ผลตอบแทนค่อนข้างสูง และหากเศรษฐกิจถดถอย ดอกเบี้ยทั่วโลกอาจเริ่มหยุดขึ้น หรือมีโอกาสที่ปรับลงได้ จะทำให้”แคปปิตอล เกน” ที่เกิดจากตราสารหนี้จะมากขึ้น
“เรามองว่า ตราสารหนี้ ในระยะต่อไปน่าลงทุน คูปองสูงขึ้นและมีแนวโน้มของแคปปิตอลเกนที่จะเกิดขึ้น และการลงทุนตราสารหนี้ผ่านกองทุนรวม ตัวอย่างกองทุน SCBGSIF ของเราที่เน้นลงทุนในกองทุนหลักต่างประเทศ อายุเฉลี่ย 6 ปี ให้ผลตอบแทนดอกเบี้ยเฉลี่ย 7.25% สูงกว่าอดีตที่ให้ผลตอบแทนแค่ 2-3% อย่างไรก็ดีควรเป็นตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือดี INVESTMEMT GRADE
อ่านเพิ่ม : กูรูฟันธงปี 66 ปีทองหุ้นกู้ - จังหวะสะสมหุ้นขนาดเล็ก
กลยุทธ์การลงทุนปีหน้า ที่อยากเน้นแนะให้เริ่มสะสมตราสารหนี้ อันดับความน่าเชื่อที่ดี ระยะยาว 7-10 ปี จากเดิมที่เน้น 3-5 ปี และการลงทุนหุ้นกู้อนุพันธ์ที่สามารถ Limit Downside Risk และสร้างกระแสเงินทุน เนื่องจากสินทรัพย์เสี่ยง”หุ้น” ขณะนี้ถือว่าปรับลงมาถูกมาก โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี่ลงมาถึง 40-60% หลายตัวมีอนาคตดี ดังนั้นการจัดพอร์ตปี 66 จากบาล๊านซ์ฟันด์เดิมทีเราเคยแนะนำ 50: 50 เป็นตราสารหนี้ ปีหน้าแนะปรับพอร์ตเป็นตราสารหนี้ : สินทรัพย์เสี่ยงสัดส่วน 60 :40
KS มองหุ้นไทย 6 เดือนข้างหน้ายังเป็นโอกาสลงทุน
ด้านนายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KS กล่าวว่าโดยปกติวิกฤตเศรษฐกิจจะใช้เวลา 5 ปีจึงกลับมาสู่ปกติ แต่เนื่องจากผลของการอัดฉีดเงิน ทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวได้เร็ว ธปท.คาดว่าไตรมาส 4/65 จะฟื้นกลับสู่ภาวะปกติเท่าช่วงก่อนเกิดโควิด อย่างไรก็ดีการเล่นหุ้นในปัจจุบัน ไม่ใช่ดูแค่ภาวะเศรษฐกิจ ยังต้องดูภาวะการเงินที่เอื้อต่อตลาดหุ้น และดัชนี SETช่วงนั้น ๆประกอบ
นายสรพล มองว่า 6 เดือนข้างหน้ายังเป็นช่วงเวลาที่ดีของการลงทุนในตลาดหุ้นอยู่ เหตุผลคือ 1.ดอกเบี้ยสู่จุดพีคแล้ว 2.เศรษฐกิจหลายประเทศเริ่มชะลอส่งผลให้ภาวะการเงินเอื้อกลับมา 3. ผลจากการที่ไทยเปิดประเทศช้า สวนทางประเทศอื่นที่เปิดไปก่อนหน้า การเปิดประเทศ และการท่องเที่ยวจะปัจจัยหนุุนเศรษฐกิจไทยใน 6 เดือนข้างหน้า
นอกจากนี้ภาวะการลงทุน SET Index เมื่อเทียบกับดอกเบี้ย คาดเฟดจะขึ้นสูงสุดแตะ 5.00 -5.25% ในเดือนมี.ค.66 แต่ไทยกับจีน ไม่มีความจำเป็นต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ย ธปท.คาดเงินเฟ้อไทยจะเข้าสู่กรอบเป้าหมายในไตรมาส 2/66 ขณะที่ไทยมีสัดส่วนหุ้นกับจีนโดยตรง จะช่วยเอื้อให้ทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ ( EM ) มองตลาดหุ้นไทยกับจีน เป็น 2 ตลาดที่ยัง outperform
4 กลุ่มอุตฯดาวเด่นปี 66
ทั้งนี้กลุ่มอุตสาหกรรมดาวเด่นในตลาดหุ้นปีหน้า บล.กสิกรไทยมีมุมมองเชิงบวกต่อ 4 กลุ่มดังนี้
บล.กสิกรไทย มองว่าดัชนีหุ้นไทย SET 6 เดือนข้างหน้ามีโอกาสไซด์เวย์บวกลบ บริเวณ1740 จุด โดยคาดจะเห็นก่อนในช่วงเดือนมี.ค.66 ถึงจุดนั้นให้ทะยอยขายทำกำไร เพราะไม่คิดว่าดัชนี SET จะไปไกลกว่านั้น หลังจากนั้นแนะกลับมาทะยอยสะสม"ทองคำ"และ แนสแด็ก (NASDAQ )
" จุดหนึ่งเรามองว่าเงินไหลจากต่างชาติจะยังเข้ามาในตลาดไทยและจีน ใน 6 เดือนข้างหน้า แต่หลังจากนั้นจะมูฟกลับไปตลาดกลุ่มประเทศพัฒนา ดัชนีหุ้นไทยยังไม่น่าไปไกลมาก"