ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.58 จุด หรือ 0.00% ปิดที่ 33,597.92 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 7.34 จุด หรือ 0.19% ปิดที่ 3,933.92 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 56.34 จุด หรือ 0.51% ปิดที่ 10,958.55 จุด
ดัชนี CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นดัชนีวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ พุ่งขึ้นแตะระดับ 22.68 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 18 พ.ย.ปีนี้ เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ หลังจากผู้บริหารของธนาคารรายใหญ่อย่างโกลด์แมน แซคส์, เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค และแบงก์ ออฟ อเมริกา ได้ออกมาเตือนว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีหน้า
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันการความกังวลที่ว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นเวลาที่ยาวนานขึ้น หลังจากดัชนีภาคบริการและตัวเลขจ้างงานสหรัฐพุ่งขึ้นมากกว่าคาดในเดือนพ.ย. โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีรายได้จากต่างประเทศ
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมวันที่ 13-14 ธ.ค.
ดัชนี Nasdaq ถูกกดดันจากราคาหุ้นแอปเปิ้ลที่ร่วงลง 1.4% หลังจากนักวิเคราะห์ของมอร์แกน สแตนลีย์ ปรับลดคาดการณ์การส่งมอบผลิตภัณฑ์ iPhone ลง 3 ล้านเครื่องในช่วงไตรมาส 4/2565 เนื่องจากนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของจีนได้ส่งผลกระทบต่อการผลิต
ขณะที่หุ้นเทสลาดิ่งลง 3.2% เนื่องจากความกังวลที่ว่ามาตรการควบคุมโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อการผลิตรถยนต์ของเทสลาในประเทศจีน ซึ่งการร่วงลงของหุ้นเทสลาเป็นปัจจัยฉุดดัชนี Nasdaq เช่นกัน
หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงติดต่อกันเป็นวันที่ 5 หลังจากราคาน้ำมัน WTI ดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยหุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ร่วงลง 2.85% หุ้นเอ็กซอน โมบิล ลดลง 0.22% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ ปรับตัวลง 0.61%