ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,203.93 จุด เพิ่มขึ้น 176.44 จุด หรือ +0.53%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,844.82 จุด เพิ่มขึ้น 22.43 จุด หรือ +0.59% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,497.86 จุด เพิ่มขึ้น 21.74 จุด หรือ +0.21%
ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์บวก 0.9% ขณะที่ดัชนี S&P500 ลดลง 0.2% และดัชนี Nasdaq ลดลง 1.9%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวขึ้น หลังการเปิดเผยผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนในวันศุกร์ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นขั้นสุดท้ายของผู้บริโภคสหรัฐ ดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 59.7 ในเดือนธ.ค. สูงกว่าตัวเลขเบื้องต้นและตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 59.1 หลังจากแตะระดับ 56.8 ในเดือนพ.ย.
ดัชนีความเชื่อมั่นได้แรงหนุนจากการที่ผู้บริโภคคลายความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ และมีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ และผู้บริโภคยังคาดการณ์ว่า
เงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 4.4% ในช่วง 1 ปีข้างหน้า ต่ำกว่าระดับ 4.9% ที่มีการสำรวจในเดือนที่แล้ว
สำหรับในช่วง 5 ปีข้างหน้า ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะแตะระดับ 2.9% ต่ำกว่าระดับ 3.0% ที่มีการสำรวจในเดือนที่แล้ว
นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันและในช่วง 6 เดือนข้างหน้าต่างปรับตัวขึ้นเช่นกัน
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีบวก 0.8% และหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์เพิ่มขึ้น 0.12%
หุ้นนิวคอร์ป พุ่ง 2.8% หลังมีรายงานข่าวว่า นายไมเคิล บลูมเบิร์ก มหาเศรษฐีและนักลงทุนชาวสหรัฐสนใจที่จะซื้อธุรกิจดาวโจนส์หรือวอชิงตัน โพสต์
แต่หุ้นเทสลา ร่วงลง 1.76% สวนทางตลาดและแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี
ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน หลังจากการที่นายอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลาให้คำมั่นว่า จะไม่ขายหุ้นเทสลาออกมาอีกอย่างน้อย 2 ปีนั้น ไม่ได้ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนแต่อย่างใด