จากที่มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 29 พ.ย.65 อนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เรื่องการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือ ภาษีขายหุ้น โดยจะเริ่มจัดเก็บหลังจากร่างกฎหมายมีผลบังคับใช้แล้ว 90 วัน โดยในปีแรกรัฐจะจัดเก็บครึ่งหนึ่งของอัตรา 0.1% หรือจัดเก็บที่ 0.05% แต่เมื่อรวมกับภาษีท้องถิ่นแล้ว จะเก็บที่ 0.055% จนถึงสิ้นปี 2566 หลังจากนั้นจะเก็บเต็มเพดานที่ 0.1% และเมื่อรวมภาษีท้องถิ่นแล้วอยู่ที่ 0.11%
บริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส ( ASPS ) ประเมินว่า รัฐบาลจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการเรียกเก็บภาษีในปี 2566 ราว 6.5 พันล้านบาท และปี 2567 อาจขยับขึ้นมาราว 1 - 2 หมื่นล้านบาท ( อ้างอิงจากมูลค่าซื้อขายปี 2565F ต่อปี 17.4 ล้านล้านบาท) พร้อมประเมินว่า หุ้นที่จะได้รับผลกระทบจากการที่รัฐเรียกเก็บภาษีขายหุ้นปัจคือ หุ้นธุรกิจหลักทรัพย์, หุ้นขนาดเล็ก P/E สูง แต่กลับมีการซื้อขายหนาแน่น และหุ้นที่มีสัดส่วนการใช้ Margin สูง ซื้อขายหนาแน่น
ในทางกลับกัน หุ้นที่น่าจะได้รับความสนใจมากขึ้น คือ หุ้นปันผลสูง ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่รับมือความผันผวนของตลาดได้ดี โดยปกติหุ้นปันผลสูงมักจะผันผวนต่ำ สะท้อนจากสถิติในอดีตย้อนหลังในอดีตตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา มีช่วงเวลาที่ SET Index ปรับฐานแรง 11 ครั้ง แต่ SETHD (ตัวแทนหุ้นปันผลสูง) ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าถึง 9 ใน 11 ครั้ง
ที่สำคัญช่วงต้นปี 2566 ยังถือเป็นจังหวะดีในการเข้าสะสมหุ้นปันผลสูงอีก เนื่องจากหุ้นปันผลมักจะขึ้นได้โดดเด่นในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปีเสมอ โดยในปี 2558 –2565 ( ไม่นับค่าผิดปกติ หรือ Outlier ช่วง Q1/ 63 ช่วงเกิด Covid-19)
คัดกรองหุ้นปันผลเด่นน่าทยอยสะสมตั้งแต่ช่วงท้ายปี 2565
ฝ่ายวิจัยฯ ทำการคัดกรองหุ้นปันผลสูง ที่น่าทยอยสะสมได้ตั้งแต่ช่วงท้ายปี 2565 พร้อมกับคาดหวังผลตอบแทนได้ทั้งในระยะ 3 เดือนข้างหน้า หรือในระยะยาว โดยผ่าน 4 เงื่อนไขเบื้องต้น ดังนี้
โดยแบ่งหุ้นปันผลสูงออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
ส่วน Toppicks เลือก AP, ASK, NOBLE, TTW ADVANC, SCB
โดยรายละเอียดทางพื้นฐาน ดังนี้
AP (FV @ 15.50) หุ้นเด่นได้ประโยชน์จากมาตรภาครัฐฯที่มีแนวโน้มกำไรQ4/65 ทำจุดสูงสุดของปี หนุนจากส่งมอบ Backlog แนวราบที่ยกมาจากไตรมาสก่อนหน้า อีกทั้งยังเป็นหุ้นอสังหาฯไม่กี่ตัวที่จ่ายปันผลปีละครั้ง โดยคาดหวังปันผลได้สูงถึง 5.75%ต่อปี
ASK (FV @ 46.00) แนวโน้มกำไร Q4/65 เติบโต QoQ และ YoY จากแนวโน้มสินเชื่อเติบโตต่อเนื่อง หนุนรายได้ดอกเบี้ยรับเติบโต ราคาหุ้นปรับฐานลงมาจน Upside เปิดกว้างพร้อมกับคาดหวังปันผลได้สูงถึง 4% ต่อปี (จ่ายปันผลปีละครั้ง)
NOBLE (FV @ 5.66) ประเมินกำไร Q4/65 จะสูงสุดของปีจากโอนฯ ต่อเนื่องของ 2 คอนโดฯใหมที่เริ่ม Q3/65 และอีก 3 โครงการใหม่ใน Q4/65 ขณะที่ปี 2566 จะมีคอนโดฯใหม่กำหนดสร้างเสร็จรวม 4 โครงการ ในการผลักดันกำไรปีหน้าฟื้นตัวมากขึ้น อีกทั้งยังคาดหวังปันผลงวด 2H65 ได้สูงถึง 4.6%
TTW (FV @ 10) เป็นหุ้นผันผวนต่ำ (มีค่า Beta เพียง 0.61)คาดหวังปันผลได้สูงถึง 6.7% ต่อปี ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการยื่นต่อสัญญาใหม่โครงการ PTW กับ คปภ. แม้ยังไม่มีไทม์ไลน์ที่ชัดเจน แต่ถือเป็น upside ส่วนเพิ่มต่อประมาณการและ FV ปัจจุบัน
ADVANC (FV @ 239.00) กำไร 4Q65 มีโอกาสโต QoQ หลังได้รับอานิสงค์จากกำลังซื้อที่ดีขึ้น ทั้งจากการใช้งานและการเปลี่ยนโทรศัพท์ช่วงปลายปี ต่อเนื่องถึงต้นปีที่ยังได้แรงหนุนเพิ่มหลังภาครัฐฯออกมาตรการ ช้อปดีมีคืน ศักยภาพการทำกำไรยังโดดเด่นกว่าคู่แข่ง
SCB (FV @ 132.00) ราคาหุ้นยัง Laggard ธ.พ. ใหญ่อื่น และซื้อขายไม่แพงมี PBV ราว 0.73 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปี 2562 ที่ 1.11 เท่า สวนทางภาวะเศรษฐกิจไทยที่จะกลับสู่ฐานปี 2562 พร้อมประเมิน Div yield สูงเป็นอันดับต้นๆ ของกลุ่ม ธ.พ. ใหญ่ ที่ 4.3% อีกทั้งการปรับตัวเข้าสู่ยุค Digital ค่อนข้างชัดเจน อีกทั้งมี ESG Score อยู่ในระดับสูง อีกทั้งยังสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจ-สังคม คาร์บอนต่ำ (Low-carbon Economy/
Society)
สรุป กลยุทธ์การลงทุนหุ้นปันผลเด่นในช่วงไตรมาสแรกของปี ถือว่าถูกที่ถูกเวลานอกจากจะมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดี และรับเงินปันผลแล้ว ยังช่วยลดความผันผวนให้กับพอร์ตการลงทุนในยามที่นักลงทุนอยู่ในช่วงปรับกลยุทธ์รับมือกับค่าคอมมิสชั่นที่สูงขึ้นจากภาษีขายหุ้น