ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 34.48 บาทต่อดอลลาร์ "แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 34.56 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา บรรยากาศในตลาดการเงินยังคงระมัดระวังตัวอยู่ ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี 2022
ในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ไฮไลท์สำคัญที่ต้องติดตาม คือ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อาทิ ข้อมูลตลาดแรงงาน และ สถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในจีน
โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
ฝั่งสหรัฐฯ – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ เริ่มจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ
โดย ISM (Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนธันวาคม ซึ่งการชะลอตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจกดดันให้ภาคการผลิตหดตัวลงต่อเนื่อง โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตอาจลดลงสู่ระดับ 48.5 จุด (ดัชนีต่ำกว่า 50 จุด หมายถึง ภาวะหดตัว)
อย่างไรก็ดี ภาคการบริการจะยังคงขยายตัวต่อเนื่อง สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้นและการขยายตัวของการใช้จ่ายในภาคการบริการ ทำให้ดัชนี PMI ภาคการบริการอาจอยู่ที่ระดับ 55 จุด
ทั้งนี้ แม้ว่าการชะลอตัวลงของภาคการผลิตอาจทำให้แรงกดดันเงินเฟ้อจากสินค้าลดลง แต่ภาคการบริการที่ยังคงขยายตัวนั้น อาจทำให้เงินเฟ้อในส่วนภาคการบริการยังอยู่ในระดับสูงและอาจทำให้เงินเฟ้อโดยรวมชะลอลงยาก
ซึ่งตลาดจะรอประเมินอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเงินเฟ้อได้ คือ ภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ โดยตลาดมองว่า ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) อาจลดลงสู่ระดับ 2 แสนตำแหน่ง ตามการปรับแผนการจ้างงานของภาคธุรกิจ เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ
ส่วนค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมง (Average Hourly Earnings) อาจขยายตัวในอัตราชะลอลง +0.4% จากเดือนก่อนหน้า (+5.0%y/y) ซึ่งภาพดังกล่าวจะชี้ว่า แม้ตลาดแรงงานสหรัฐฯ จะชะลอตัวลงมากขึ้น แต่ก็ยังเป็นการชะลอลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ทำให้แรงกดดันเงินเฟ้อผ่านตลาดแรงงาน (การเติบโตของค่าจ้าง) อาจชะลอลงตัวลงช้ากว่าที่เฟดต้องการ ทำให้เฟดยังคงกังวลแนวโน้มเงินเฟ้ออยู่ ซึ่งอาจสะท้อนในรายงานการประชุมล่าสุดของเฟด (FOMC Meeting Minutes) ที่บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดอาจสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องและคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับสูงจนกว่าเฟดจะคุมปัญหาเงินเฟ้อได้สำเร็จ
▪ ฝั่งยุโรป – บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อในฝั่งยูโรโซนมีแนวโน้มปรับตัวลดลงต่อเนื่องและอาจผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนธันวาคม อาจลดลงสู่ระดับ 9.6% จากระดับ 10.1% ในเดือนก่อนหน้า
หลังรัฐบาลในฝั่งยุโรปต่างออกมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพ โดยเฉพาะในส่วนของค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน
อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงมาก จะส่งผลให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีจำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง จนกว่า ECB จะมั่นใจว่าสามารถคุมปัญหาเงินเฟ้อสูงได้สำเร็จ
▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในจีนที่ยังคงน่ากังวลอยู่ ทั้งนี้ ตลาดประเมินว่า การทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดอาจทำให้เศรษฐกิจจีนเริ่มมีความหวังกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น
สะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมและการบริการโดย Caixin ในเดือนธันวาคม (ซึ่งจะเน้นบริษัทขนาดเล็ก-กลาง เป็นหลัก) ที่จะปรับตัวลดลงต่อเนื่อง สู่ระดับ 49 จุด และ 46.5 จุด ตามลำดับ
และจะเป็นจุดต่ำสุดของดัชนี PMI ก่อนที่จะทยอยปรับตัวดีขึ้น ตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่จะเริ่มคึกคักขึ้น หลังการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาด ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณจากข้อมูลการเดินทาง (Mobility Data) ในจีนที่กลับมาคึกคักมากขึ้น
ส่วนในฝั่งเวียดนาม การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญ อย่าง สหรัฐฯ ยุโรป และจีน ในช่วงที่ผ่านมาจะกดดันให้ภาคการผลิตอุตสาหกรรมของเวียดนามยังคงหดตัวต่อเนื่อง
โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมอาจลดลงสู่ระดับ 47 จุด ในเดือนธันวาคม สอดคล้องกับยอดการส่งออกและยอดผลผลิตอุตสาหกรรมที่ปรับตัวลดลงในเดือนธันวาคมเช่นกัน
▪ ฝั่งไทย – เรามองว่า ผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกอาจทำให้ภาคการผลิตอุตสาหกรรมชะลอตัวลงมากขึ้น โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมในเดือนธันวาคมอาจลดลงสู่ระดับ 50 จุด
อย่างไรก็ดี ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนธันวาคมมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 49 จุด ท่ามกลางความหวังการฟื้นตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจ หลังนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยมากขึ้นต่อเนื่อง ทั้งนี้ การบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัวดีขึ้น
สอดคล้องกับการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวและความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะส่งผลให้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) ในเดือนธันวาคม เร่งขึ้นสู่ระดับ 5.9% (ส่วนหนึ่งมาจากผลของฐานราคาที่ต่ำในปี 2021) แต่อัตราเงินเฟ้อจะไม่ปรับตัวขึ้นไปมาก เนื่องจากราคาสินค้าพลังงานได้ปรับตัวลดลงในช่วงเดือนธันวาคม
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทอาจแกว่งตัว Sideways แต่เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้โดยเฉพาะในจังหวะที่ตลาดปิดรับความเสี่ยงและเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น
เรามองว่า เงินบาทจะไม่อ่อนค่าไปมาก เนื่องจากผู้ส่งออกบางส่วนต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ ส่วนผู้เล่นต่างชาติก็รอจังหวะเพิ่มสถานะ Short USDTHB ตามความคาดหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ผ่านภาคการท่องเที่ยว
ซึ่งคาดว่ามุมมองดังกล่าวก็อาจสะท้อนผ่านฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่อาจเดินหน้าซื้อสุทธิหุ้นไทยในธีมเปิดเมืองได้บ้าง ทั้งนี้ในเชิงเทคนิคัล เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นใกล้โซนแนวรับ 34.25-34.30 บาทต่อดอลลาร์ได้เร็ว หากแข็งค่าหลุดระดับ 34.50 บาทต่อดอลลาร์
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า ควรระวัง ตลาดการเงินอาจปิดรับความเสี่ยงได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด (Good News is Bad News for the market)
ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟดและหนุนให้เงินดอลลาร์ รวมถึงบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น
นอกจากนี้ สถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในจีนที่ยังน่ากังวล ก็อาจกดดันสกุลเงินหยวน (CNY) และสกุลเงินเอเชียได้เช่นกัน
เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 34.25-34.75 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.40-34.55 บาท/ดอลลาร์
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.41-34.43 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.05 น.) แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดในประเทศเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ 34.61 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องท่ามกลางแรงหนุนจากสัญญาณที่สะท้อนทิศทางฟันด์โฟลว์เข้าในตลาดพันธบัตรไทย ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ยังขาดแรงหนุน เรื่องจากตลาดยังรอติดตามบันทึกการประชุมเฟดและข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่จะทยอยรายงานในสัปดาห์นี้
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 34.40-34.55 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อเดือนธ.ค. 65 ของไทย ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์โควิดในจีน และการเคลื่อนไหวของสกุลเงินเอเชีย ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจต่างประเทศที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนธ.ค.ของจีน อังกฤษ และสหรัฐฯ