นักวิเคราะห์มองว่าภาพรวมตลาดหุ้นไทยปี 2566 มีแรงหนุนจากภาพเศรษฐกิจไทยที่เติบโต แต่มีแรงกดดันทั้งจากภาวะ Recession ของเศรษฐกิจประเทศพัฒนาหลายประเทศ ความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่สูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ยังขยับขึ้นต่อตามเงินเฟ้อ และการจัดเก็บภาษีจากการขายหุ้น ภาพดังกล่าวอาจทำให้ Upside ตลาดมีไม่มาก อย่างไรก็ดีการปรับกลยุทธ์ที่เหมาะสมยังสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดี
ASPS มองหุ้นไทยปี 66 อัพไซด์จำกัด
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส (ASPS) คาด SET Index ปี 66 ในช่วงต้นมีโอกาสปรับขึ้นต่อได้ แต่ในช่วงไตรมาสที่ 2 อาจสะดุดเคลื่อนตัวได้ช้าลง
ปัจจัยต่างๆ ที่สนับสนุนให้ SET ขึ้นต่อได้มีดังนี้
1) ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 66 คาดเติบโต ถึง 3.8% ทิ้งห่างเศรษฐกิจโลกที่ขยาย 2.6% โดยมีแรงหนุนหลักๆ
2) กำไรบริษัทจดทะเบียนปี 2566 คาดอยู่ที่ 1.27 ล้านล้านบาท คิดเป็น EPS ที่ 99.2 เท่า เติบโตต่อเนื่อง 6% โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม non – energy คาดเติบโตได้ถึง 11.7%
3) ปีนี้มีการเลือกตั้งทำให้เกิดความคาดหวัง นโยบายใหม่ๆ ที่จะมาช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจมากขึ้น และในอดีต SET เองก็มักปรับตัวขึ้นได้ดีในปีนั้น
4) SET Index มักปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงไตรมาสแรกของปี โดยช่วง 7 ปีที่ผ่านมา (ไม่นับปี 2563 เกิดเหตุการณ์โควิด) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5.2% และหุ้นปันผลสูง(SETHD) ให้ผลตอบแทนดีกว่าที่ 8.2%
ส่วนความเสี่ยงที่กดดันตลาดหุ้นไทยโดยเฉพาะช่วงไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไป
1). ความกังวลหลายประเทศเข้าสู่ช่วง Recession โดย Bloomberg คาดยุโรป มีโอกาสเกิด 80% สหรัฐ 65% และไทยมีโอกาสเกิดเพียง 13%
2).แรงกดดันจากการขึ้นดอกเบี้ย โดยดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 0.25% จะกดดันเป้าหมายดัชนีลดลง 73 จุด
3). การเก็บภาษีขายหุ้น คาดจะกระทบต่อทิศทางตลาดช่วงปรับตัวระยะสั้นๆ โดยเฉพาะช่วงก่อนเก็บภาษีจริง และยังกระทบต่อสภาพคล่องระยะยาว
4). เผชิญแรงขายคืน LTF ปี 2566 ที่ครบกำหนดอายุ มูลค่า 6.4 หมื่นล้านบาท
ASPS คาด Fund Flow มีโอกาสไหลมาพยุงตลาดหุ้นไทยต่อในปี 2566 หลังจากที่ปี 65 ต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้นไทยมากสุดในภูมิภาคกว่า 5.5 พันล้านเหรียญ จากเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นเด่นกว่าเศรษฐกิจโลก พร้อมกับแนวโน้มค่าเงินบาทที่มีโอกาสแข็งค่าขึ้น หนุนได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเติม
กลยุทธ์การลงทุน แนะ 3 ธีมเด่น
"ทิสโก้" มองบวก 3-4 เดือนข้างหน้า 1780 จุด
บล.ทิสโก้ คงมุมมองเชิงบวกหุ้นไทยปี 66 ในระยะ 3-4 เดือนข้างหน้า หลัก ๆ จากปัจจัยเกื้อหนุน
"SET Index ในช่วง 3-4 เดือนข้างหน้านี้มีโอกาสแกว่งซิกแซกขึ้นไปที่เป้าหมาย กรณีฐานที่ 1700-1720 จุด และในกรณีดีที่ 1750-1780 จุด ทั้งนี้ บล.ทิสโก้ คาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้นของตลาด (SET EPS) ปี 66 ที่ 99.5 บาท และ P/E ที่ 15.4 เท่า ส่งผลให้ SET Index สิ้นปี 2566 คาดที่ระดับ 1590 จุด "
กลยุทธ์การลงทุนในช่วง 4 เดือนข้างหน้า แนะเน้นไปที่กำไรและเงินปันผลซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของหุ้นแต่ละตัว โดยชี้เป้าหุ้นเด่นเดือน ม.ค. คือ AP, BBL, CENTEL, EGCO, INTUCH, KKP, MAKRO, PTTEP และ TU
กสิกรไทย มองบวกอย่างระมัดระวัง
บล.กสิกรไทย ( KS) มองบวกอย่างระมัดระวังต่อตลาดหุ้นไทย คาดดัชนี SET ปี 2566 ที่ 1,757 จุด อิงจาก EPS ปี 2567 ที่ 113 บาท และ PER ที่ 15.55 เท่า (-0.55D) จากปัจจัยหนุน GDP ไทยปี 66 ที่คาดจะเติบโตขึ้น 3.7% และอัตราเงินเฟ้ออยู่ระดับปานกลางด้วยเป้าของธปท.ที่ 1-3% จากฐานที่สูงและราคาพลังงานที่ลดลง
กรณีดีที่สุด คาด SET Index จะอยู่ที่ 1,946 จุด สะท้อนสถานการณ์ "goldilocks" ที่เศรษฐกิจโลกไม่เข้าสู่ภาวะฤดถอยขณะที่อัตราเงินเฟ้อแนวโน้มลดลง
กรณีเลวร้ายที่สุด คาดว่า SET Index จะอยู่ที่ 1,568 จุด สะท้อนอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ระดับสูงมากและธนาคารกลางทั่วโลกรวมทั้ง ธปท. จะต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเชิงรุก และหากเกิดกรณีปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ทวีความรุนแรงมากขึ้น คาดว่า SET Index จะลดลงมาอยู่ที่ 1,475 จุด
ปัจจัยเสี่ยง
ธีมลงทุน : เน้นไปยังหุ้นที่ได้ประโยชน์จากสภาวะเศรษฐกิจทื่ฟื้นตัวขึ้นในรูปแบบ K-shaped การเปิดประเทศ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น หุ้นเด่นได้แก่ BCP, PRM, KTB, BAM, SC, AAI, CRC, CPN, BDMS, MINT, ADVANC และ TEGH
โกลเบล็ก คาดกำไรตลาดโต 8-9%
ด้าน บล.โกลเบล็ก (GBS) มองกรอบดัชนี SETในปี 2566 ที่ระดับ 1,616 – 1,845 จุด บนสมมติฐานอัตรากำไรต่อหุ้น (EPS) ปี2566 เท่ากับ 108.85 เติบโต 8-9% เมื่อเทียบกับปี 2565 พร้อมทั้งมองว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับตัวเลขเงินเฟ้อเริ่มทยอยชะลอตัวเข้าสู่ระดับปกติ
นอกจากนี้ปัจจัยบวกที่จะเกิดขึ้นในปี 2566 อาทิ กรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) สาขาแอตแลนตา เปิดเผยแบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 3.7% ใน 4Q65 สูงกว่าระดับ 2.7% ที่เปิดเผยก่อนหน้านี้ ขณะที่ค่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐในเดือนธันวาคม 2565 ดีดตัวขึ้นและสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ บ่งชี้ว่าผู้บริโภคคลายความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ
กลยุทธ์ลงทุน GBS แนะลงในหุ้น 5 กลุ่ม ได้แก่
พร้อมกันนี้GBS ยังได้แนะนำ “ซื้อ” 4 หุ้นเด่นในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้แก่ 1.หุ้น SPA ที่ราคาเหมาะสม 10.80 บาท , 2.หุ้น D ราคาเหมาะสมที่ 8.75 บาท 3.หุ้น CEYE ราคาเป้าหมายที่ 7.12 บาท และ
4.หุ้น AU ราคาเหมาะสมที่ 13.20 บาท
อินโนเวสท์ แนะจุดทำกำไรที่ 1,500-1,600 จุด
ด้านบล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองว่าปี 2566 เป็นปีที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลพวงจากการเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยในตลาดพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐและยุโรปนั้นเพิ่มสูงขึ้น โดยคาดการณ์ว่ามีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐจะลดดอกเบี้ยในปี 2566 หลังจากอุปสงค์มีแนวโน้มหดตัว ทำให้ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลง ซึ่งจะส่งผลดีกับตลาดเกิดใหม่อย่างเช่นตลาดหุ้นไทย ที่คาดว่าจะได้รับอานิสงค์จากกระแสเงินไหลเข้า
นอกจากนั้นเศรษฐกิจไทยยังอยู่บนภาพของการฟื้นตัวจากการบริโภคภายในประเทศโดยมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นปัจจัยหนุน รวมถึงความคาดหวังเชิงบวกต่อการเปิดประเทศของจีน
ประเมินดัชนี SET ปี66 อิงกับปัจจัยพื้นฐานอยู่ที่ 1,750 จุด แนะจุดเข้าซื้อที่สำคัญอยู่ที่ 1,500-1,600 จุด ซึ่งคาดว่าจะเห็นในไตรมาส1/ 66 แนะลงทุนหุ้นเด่นไตรมาสแรกปี 2566 ที่เน้นไปยังหุ้นที่ได้อานิสงค์จากการเปิดประเทศของจีนและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเป็นหลัก ได้แก่ AOT BBL BCP CPALL และ MINT
"โนมูระ" ให้เป้าดัชนี 1,800 จุด
ด้าน บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ ประเมินดัชนี SET บนสมมติฐาน EPS ตลาดปี 66 ที่ 105 บาท/หุ้น เติบโต 6% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ทำให้ได้เป้าหมายดัชนีปี 66 ที่ 1,800 จุด รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ผสานกับกรณีที่จีนเปิดประเทศเร็วขึ้น ช่วยเพิ่มอัตราเร่งดุลบัญชีเดินสะพัดไทยเริ่มพลิกกลับมาเป็นบวกได้ +4.5% ของ GDP หนุนเศรษฐกิจไทยปี 2566-2567 เติบโตสูง +3.8%
แนะถือน้ำหนักหุ้นไทย 65-70%,หุ้นต่างประเทศคงไว้ที่ 10-15%, พันธบัตร 15% และถือสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ ราว 5% เน้น Domestic Plays ซึ่งได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและภูมิภาคเป็นหลัก ได้แก่
กลุ่มหุ้นคุณค่าที่มี Valuation ถูก และพ้นจุดที่แย่สุดไปแล้วโดยหุ้น top pick ปี 2566 แนะนำ AAV,AOT, AMATA, CPALL, CRC, GPSC, GULF,SCGP, CBG, BAM และ BBL ส่วนกลุ่ม Mid-Small Cap Play แนะเป็นหุ้น SPA, ICHI, SAPPE, ONEE และ MC