บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท ครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2566 ได้มีมติเอกฉันท์อนุมัติการเข้าทำธุรกรรมและเห็นชอบให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการเข้าซื้อหุ้นสามัญของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (เอสโซ่) จาก ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd. (ExxonMobil)
โดยบางจากฯ ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นกับ ExxonMobil เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2566 และคาดว่าจะสามารถดำเนินการซื้อขายและชำระเงินค่าหุ้นแก่ผู้ขายได้ภายในครึ่งหลังของปี 2566 โดยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขบังคับก่อนที่กำหนด และเตรียมพร้อมทำคำเสนอซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมด (tender offer) ของเอสโซ่ หลังจากการทำธุรกรรมกับ ExxonMobil เสร็จสิ้น
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การลงทุนครั้งดังกล่าวนี้มีสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องคือโรงกลั่นน้ำมันกำลังการกลั่น 174,000 บาร์เรลต่อวัน เครือข่ายคลังน้ำมัน และสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศกว่า 700 แห่ง
ทั้งนี้ จะก่อให้เกิดการประหยัดเชิงขนาดและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุนของบริษัท โดยจะทำให้บางจากฯ มีกำลังการกลั่นน้ำมันรวม 294,000 บาร์เรลต่อวัน และเครือข่ายสถานีบริการกว่า 2,100 แห่ง สามารถดำเนินธุรกิจโรงกลั่นได้ครบวงจรมากขึ้น จัดหาน้ำมันดิบได้หลากหลายขึ้น
รวมถึงได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีการกลั่นที่เสริมกันของโรงกลั่นทั้งสอง และการให้บริการด้านการตลาดที่ครอบคลุมและนำเสนอบริการให้กับลูกค้าได้ยิ่งขึ้นผ่านสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ
นอกจากนี้ จะมีการแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยี โดยจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจและเตรียมความพร้อมให้กับกลุ่มบริษัทบางจากในการมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน
สำหรับการเข้าทำธุรกรรมดังกล่าว เป็นการเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 65.99% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของ เอสโซ่จาก ExxonMobil โดยมีมูลค่ากิจการ 55,500 ล้านบาท และมีกลไกการปรับราคาซื้อขายหุ้นตามที่ระบุในสัญญาซื้อขายหุ้น
อย่างไรก็ดี หากอ้างอิงตามงบการเงินสอบทานในไตรมาส 3/2565 ของเอสโซ่ จะได้ราคาเบื้องต้นประมาณ 8.84 บาทต่อ 1 หุ้น ( คำนวณคาดใช้เงินเบื้องต้นราว 20,188 ล้านบาท จากสัดส่วนหุ้น 65.99% ที่ถือโดย ExxonMobil ) โดยราคาสุดท้ายจะมีการปรับตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้
นายชัยวัฒน์ กล่าวต่ออีกว่า แหล่งเงินทุน บางจากฯ จะใช้เงินทุนทั้งแหล่งภายนอกจากสินเชื่อจากสถาบันการเงิน และจากกระแสเงินสดภายในบริษัทและเตรียมพร้อมทำคำเสนอซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมดภายหลังจากการเข้าซื้อหุ้นจาก ExxonMobil เสร็จสิ้น อนึ่ง ExxonMobil จะยังคงดำเนินธุรกิจนำเข้าผลิตภัณฑ์หล่อลื่นและเคมีภัณฑ์ในประเทศไทยต่อไป
"การเข้าทำธุรกรรมการซื้อขายหุ้นจะอยู่ภายใต้การปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพลังงาน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และขึ้นอยู่กับการอนุมัติของผู้ถือหุ้นในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 โดยคาดว่าจะดำเนินการซื้อขายแล้วเสร็จภายในครึ่งหลังของปี 2566"
อนึ่ง "ฐานเศรษฐกิจ" รวบรวมข้อมูลงบการเงิน "บางจาก" หรือ BCP ณ สิ้นสุด 30 ก.ย. 2565 ที่ผ่านมา พบว่าบริษัทฯ มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดอยู่ที่ 33,288 ล้านบาท อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E) อยู่ที่ 1.73 เท่า อัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio) อยู่ที่ 2.46 เท่า ปัจจุบันโรงกลั่นบางจากมีกำลังกลั่นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 120,000 บาร์เรลต่อวัน และมีจำนวนสถานีบริการน้ำมันอยู่ที่ 1,340 แห่ง และมีแผนเพิ่มอีก 80 แห่ง เป็น 1,420 แห่ง ภายในสิ้นปี 2566
ส่วนงบการเงิน ESSO มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดอยู่ที่ 842.84 ล้านบาท อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E) อยู่ที่ 2.33 เท่า อัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio) อยู่ที่ 1.08 เท่า ปัจจุบันโรงกลั่นเอสโซ่ (ตั้งอยู่ที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี) และมีกำลังการกลั่นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 130,000 บาร์เรลต่อวัน มีสถานีบริการน้ำมันอยู่ที่ 800 แห่งทั่วประเทศ
โดยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือมาร์เก็ตแคปของ BCP ณ วันที่ 11 ม.ค. 2566 มีขนาดประมาณ 43,700 ล้านบาท ขณะที่ ESSO มีมาร์เก็ตแคปที่ขนาด 38,400 ล้านบาท
และหากการควบรวมกิจการเกิดขึ้น BCP จะมีส่วนแบ่งตลาดจำหน่ายน้ำมัน (มาร์เก็ตแชร์) เพิ่มขึ้นเป็น 25% แบ่งเป็นของบางจากเดิม 15% และเอสโซ่ที่ 10% รองจาก บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ที่มีมาร์เก็ตแชร์ที่ 35% สถานีบริการน้ำมันบางจากจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 พันแห่ง แบ่งเป็น บางจาก 1,420 แห่งตามแผนในปี 66 และเอสโซ่อีก 800 แห่ง
10 ผู้ถือหุ้นใหญ่ บมจ.เอสโซ่ ณ วันที่ 22 กันยายน 2565