PQS ซื้อขายวันแรกเปิด 14.00 บาท พุ่ง 133% เหนือราคาไอพีโอ

15 ก.พ. 2566 | 03:29 น.
อัปเดตล่าสุด :15 ก.พ. 2566 | 03:54 น.

PQS เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วันแรก โดยมีราคาเปิดที่ 14.00 บาท เพิ่มขึ้น 8.00 บาท จากราคา IPO ที่ 6.00 บาทต่อหุ้น พุ่ง 133.33% ราคาล่าสุด 10.20น. แตะ 13.40 บาท โบรกประเมินราคาเหมาะสมปีนี้ที่ 12.00-12.70 บาท

วันนี้ (15 ก.พ. 66) บริษัท พรีเมียร์ควอลิตี้สตาร์ช จำกัด (มหาชน) หรือ PQS เข้าจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นวันแรก โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า PQS ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารโดยมีราคาเปิดที่ 14.00 บาท เพิ่มขึ้น 8.00 บาท จากราคา IPO ที่ 6.00 บาทต่อหุ้น หรือเพิ่มขึ้น 133.33%

ภาพประกอบ ข้อมูลราคาหุ้น PQS

การเคลื่อนไหวของราคา PQS ล่าสุดเมื่อเวลา 10.20น. ราคาปรับขึ้น 123.33% หรือบวก 7.40 บาท อยู่ที่ระดับ 13.40 บาท จากราคา IPO ที่ 6.00 บาทต่อหุ้น ราคาปรับสูงสุดที่ 14.00 บาท และต่ำสุดที่ 12.00 บาท มูลค่าการซื้อขายกว่า1,892 ล้านบาท

ภาพประกอบ ราคาหุ้น PQS

4 บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ประเมินราคาเหมาะสมปีนี้ของ PQS ที่ 12.00-12.70 บาทต่อหุ้น 

บล.ฟิลลิป ประเมินราคาพื้นฐานในปีนี้ที่ 12.70 บาทต่อหุ้น โดยคาดรายได้จากการขายปีนี้อยู่ที่ 2,845.7 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 13.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ราคาวัตถุดิบคงที่ อัตรากำไรขั้นต้น 24.4% ลดลงจากปี 65 เล็กน้อยหากรวมรายได้อื่นที่เพิ่มขึ้นจากกิจกรรมการผลิตที่เพิ่มคาดการณ์กำไรสุทธิ 418.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

บล.ฟินันเซียไซรัส ประเมินราคาเหมาะสมปีนี้ที่ 12.00 บาทต่อหุ้น โดยคาดว่ากำไรสุทธิปีนี้จะเติบโต 12.6% เป็น 338 ล้านบาท และจะเติบโตโดดเด่นในปีหน้า 74.8% เป็น 591 ล้านบาท จากที่บริษัทมีแผนนำเงิน IPO ไปลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลังเพิ่ม 1 แห่ง กำลังการผลิต 120,000 ตันต่อปี ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 67 และเริ่มรับรู้รายได้ทันที

บล.เคจีไอ ได้ประเมินมูลค่าที่เหมาะสมครึ่งปีแรกของปี 67 ของบริษัทเท่ากับ 12 บาทต่อหุ้น อิงจาก PE 16 เท่า โดยPQS มีแผนขยายกำลังการผลิตโรงแป้งมันสำปะหลังทั่วไป และแป้งมันสำปะหลังดัดแปรเพิ่มเติมอีกด้วย โดยชอบPQS เนื่องจากมีอัตราการเติบโตของกำไรเฉลี่ยที่สูงประมาณ 25% ในปี 64-67

บล.ยูโอบี เคย์ เฮียน ประเมินราคาเป้าหมายปีนี้ที่ 12.00 บาท โดยคาดกำไรปี 65-67 เติบโต 17.1% ต่อปี หนุนจากฐานยอดขายรวมปี 67 คาดโต 18.6% ต่อปี ภายใต้สมมติฐานการเพิ่มกำลังการผลิตรวม นับตั้งแต่ต้นปี 67 ที่ 1.45 แสนตันต่อปี

นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บมจ.พรีเมียร์ควอลิตี้สตาร์ช เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดอาหารและเครื่องดื่ม

PQS มีทุนชำระแล้วหลังการเสนอขาย 670 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม จำนวน500 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 170 ล้านหุ้น โดยเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) 170 ล้านหุ้นระหว่างวันที่ 7-9 ก.พ. 66 ในราคาหุ้นละ 6 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 1,020 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณราคา IPO 4,020 ล้านบาท

ทั้งนี้ ราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) เท่ากับ 11.85 เท่า โดยคำนวณจากผลประกอบการของบริษัทในช่วงไตรมาสที่ 4/2564 ถึง ไตรมาส 3/2565 ซึ่งเท่ากับ 339.24 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเสนอขาย IPO คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น (fully diluted EPS) เท่ากับ0.51 บาท โดยมีบริษัท ฟิน พลัส แอดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัดเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย และรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ

นายรัฐวิรุฬห์ ชาญจึงถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PQS ระบุว่า การนำหุ้นสามัญของบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับบริษัททั้งในแง่ของต้นทุนทางการเงินที่ลดลง และความเชื่อมั่นของคู่ค้า พร้อมทั้งเสริมศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ จะใช้เป็นเงินลงทุน และใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน เพื่อให้สอดคล้องกับแผนเติบโตของบริษัทฯ โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ ผลิตและจำหน่าย แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักได้แก่ 1. ผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลัง (Tapioca) เป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปจากหัวมันสำปะหลัง และ 2. การผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ (Biogas) 

PQS มีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ ภายหลังจากหักภาษีและเงินทุนสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย

ทั้งนี้ IPO มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 2 กลุ่ม กลุ่มครอบครัวชาญจึงถาวร ถือหุ้น 46% และกลุ่มครอบครัวธวัชชุติกร ถือหุ้น 20%