นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK กล่าวว่า ในปี 2566 นี้บริษัทฯจะมุ่งเน้นการทำ Synergy ระหว่างบริษัทแม่และบริษัทในเครือทั้งหมด เพื่อสร้างการเติบโตร่วมอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาวตามแผน “Growth at Scale” ด้วยการยกระดับการให้บริการแบบครบวงจรที่ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทั้งขนาดใหญ่และกลาง พร้อมลุยธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโต ตั้งเป้าขยายสัดส่วน Recurring Income โดยใช้จุดแข็งของแต่ละบริษัทเข้าไปสนับสนุนการให้บริการและการเติบโตทั้งในส่วนรายได้และกำไร เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจผ่าน Cross-Selling และ Up-Selling ระหว่างกัน
“หลังจากปลดล็อคปัญหาจำนวนผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีไม่เพียงพอ โดยมีอัตรากำลังที่เพิ่มขึ้นจาก 350 เป็น 800 ชีวิตแล้ว การเข้าซื้อกิจการของ VDD และ Innoviz ยังสร้างการเติบโตแบบ Inorganic growth ให้กับบลูบิคเป็นปีแรกด้วย ดังนั้นการเติบโตของผลประกอบการนับจากนี้ของบริษัทฯจะเป็นไปอย่างมีเสถียรภาพ สามารถรองรับการขยายบริการทั้งในและต่างประเทศ และบรรลุเป้าหมายการได้รับคัดเลือกเข้าดัชนี SET 100 ตามแผนที่วางไว้” นายพชร กล่าว
สำหรับการเติบโตแบบ “Growth at Scale” บริษัทฯ ได้วางแนวทางการเติบโตไว้ 3 แนวทาง ดังนี้
แนวทางที่ 1 ผนึกกำลังบริษัทในเครือปูทางสู่การเติบโตระยะยาว: เร่งผสานการทำงานและความร่วมมือระหว่าง บลูบิค กับ VDD และ Innoviz เพื่อเพิ่มอัตราทำกำไรและ Revenue per Head ของทั้งสองบริษัท ในขณะที่บลูบิคเดินหน้าขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มที่เป็นองค์กรขนาดกลางและภาครัฐซึ่งเป็นฐานลูกค้าหลักของสองบริษัท พร้อมทั้งเดินหน้าผนึกกำลังการทำงานร่วมกันของทุกบริษัทในเครือ
แนวทางที่ 2 เพิ่มขีดความสามารถในการรับงานมูลค่าระดับหลายร้อยล้านบาท พร้อมแข่งขันบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลก: การ Synergy ระหว่างบลูบิคและบริษัทในเครือ ผนวกกับประสบการณ์การพัฒนาโซลูชันและแอปพลิเคชันที่สามารถรองรับจำนวนผู้ใช้งานระดับหลายร้อยล้านคน ทำให้บริษัทฯ สามารถรับงานขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าหลายร้อยล้านบาทและเป็นตลาดที่มีคู่แข่งน้อยราย
โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศที่มีขนาดใหญ่กว่าไทยหลายเท่าตัว ซึ่งบริษัทฯ มีข้อได้เปรียบด้านโครงสร้างราคาที่สามารถแข่งขันได้ จากปัจจัยดังกล่าวนี้จะทำให้บลูบิคกลายเป็นผู้นำในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันสัญชาติไทยเพียงรายเดียวที่เทียบชั้นบริษัทต่างชาติได้
แนวทางที่ 3 รุกธุรกิจใหม่และเสริมแกร่งบริการหลักต่อเนื่องผ่าน JV, M&A พร้อมลุยขยายตลาดต่างประเทศ: เดินหน้าขยายธุรกิจผ่านกิจการร่วมค้า (Joint Venture) และการควบรวมกิจการ (Mergers & Acquisitions - M&A) โดยเฉพาะในธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตและส่งเสริมบริการหลักให้แข็งแกร่งขึ้น อาทิ Big Data การพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มและโซลูชันที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของแต่ละอุตสาหกรรม เป็นต้น นอกจากนี้บริษัทฯยังมีแผนการขยายธุรกิจไปต่างประเทศต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้กำลังศึกษาโอกาสทางธุรกิจในประเทศสหรัฐอเมริกา
การขยายธุรกิจตามแผน “Growth at Scale” ของ บลูบิค นั้นสอดรับกับแนวคิดการทำธุรกิจแห่งโลกอนาคต “Digital-First Company” ที่มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีเป็นกลไกในการขับเคลื่อน เพื่อให้ลูกค้าสามารถรับมือการเปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจ และพร้อมเผชิญหน้ากับ New World Order หรือระเบียบโลกใหม่ โดย Digital-First Company จะช่วยเชื่อมโยงและตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder) ในระบบนิเวศของธุรกิจยุคใหม่ที่ประกอบด้วย องค์กร (Company) ลูกค้า (Customer) พันธมิตรทางธุรกิจ (Partner) และสังคม (Community)
บลูบิค ยกตัวอย่าง 5 Capability สำคัญในการขับเคลื่อน “Digital-First Company” ที่สามารถสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศทางธุรกิจ พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานสำหรับองค์กร ดังนี้
1. การพัฒนา Super App: ที่สามารถรองรับผู้ใช้งานจำนวนมากและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ได้จริง รวมถึงการเป็นช่องทางสร้างการเติบโตร่วมกันกับพันธมิตรทางธุรกิจได้
2. การใช้เทคโนโลยีขั้นกว่าของปัญญาประดิษฐ์ หรือ Augmented Intelligence: ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มแต้มต่อทางธุรกิจพร้อมยกระดับการดำเนินงานให้องค์กรลูกค้าเหนือคู่แข่ง
3. สร้างความน่าเชื่อถือและเกราะป้องกันภัยทางไซเบอร์ หรือ Digital Immunity and Trust: เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันภัยทางไซเบอร์ที่แข็งแกร่งให้กับองค์กร เพื่อลดความเสี่ยงและความเสียหายจากการโจมตีทางไซเบอร์ พร้อมสร้างความน่าเชื่อถือให้องค์กร
4. เทคโนโลยีเพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืน หรือ Sustainability Technology: การผลักดันการทำ ESG ในองค์กรให้ประสบความสำเร็จด้วยการใช้เทคโนโลยีเข้าไปสนับสนุนในทุกแง่มุม เช่น การย้ายข้อมูลขึ้นระบบดิจิทัลแพลตฟอร์มช่วยลดการใช้กระดาษจำนวนมหาศาล การเพิ่มช่องทางการสื่อสารและพื้นที่บนโลกออนไลน์ให้กับชุมชน/สังคม และการสร้างความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจด้วยด้วยการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) เป็นต้น
5. Agile Operations: แนวคิดการทำงานสำหรับองค์กรยุคใหม่ที่ใช้รับมือกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในโลกธุรกิจ ทำให้องค์กรสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว คล่องตัวกว่าเดิม อีกทั้งช่วยให้รักษาขีดความสามารถในการแข็งขันและบรรลุเป้าหมายการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันได้อย่างราบรื่น